วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

Mount Etna volcano แห่งเกาะซิซิลีและอิตาลี

               นับแต่โอดิสซีอัสจนถึงนาวิกโยธินสหรัฐฯ การรับมือกับความรุนแรงของเอ็ตนา (Mount Etna) เป็นภารกิจสำหรับวีรบุรุษเสมอมา

แผ่นที่ ภูเขาไฟเอ็ตนา etna volcano

                ไม่ไกลจากกาตาเนียบนฝั่งตะวันออกของชิชิลี คือที่ตั้งของหินมหึมาสามก้อนที่คลื่นซัดสาดอยู่เป็นนิจ หินเหล่านี้เรียกกันว่าเซออลยีซีกลอปี ซึ่งกำเนิดจากภูเขาไฟและมีลักษณะแปลกไปจากหินอื่นๆ ตามชายหาดแถบนี้ เล่ากันว่าอสุรกายตนหนึ่งได้ขว้างหินเหล่านี้ใส่เรือของโอดิสซีอัส (หรือยูลีสซีส) แม่ทัพในสงครามเมืองทรอยจากเทพปกรณัมกรีก

               โฮเมอร์ กวีชาวกรีกสมัยศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช เล่าไว้ในมหากาพย์ โอดิหสซีย์ถึงเรื่องราวของวีระบุรุษผู้นี้กับบรรดาเพื่อนร่วมทางของเขา ซึ่งถูกพวกไซคลีอปยักษ์กินคน คุมขังบอยู่บนเกาะชิชิลี ยักษ์พวกนี้มีหัวหน้าชื่อโพลีพิมัส ซึ่งหน้าตาน่าเกลียด เพราะมีดวงตาเพียงข้างเดียวฝังอยู่กลางหน้าผาก ขณะที่โพลีฟีมัสกำลังหลับ โอดิซีอัสกับพรรคพวกใช้คานต้นมะกอกเหลาแหลงลนไฟจนแกร่งและคุกรุ่น แทงเข้าที่ตาของโพลีพิมัส แล้วหลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้ พร้อมเรือของพวกเขา แม้ตาจะบอดและเจ็บปวดสาหัส โพลีพีมัสยังฉีกหินออกจากข้างภูเขา แล้วขว้างใส่พวกของโอดิซีอัสที่ทำร้ายตน แต่หินพลาดเป้าไปตกลงกับพื้น ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงตั้งเด่นอยู่เป็นเครื่องระลึกถึงพละกำลังของยักษ์ไซคล็อปตนนี้ ธรณีพิโรธ ภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna

               ภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna ได้เกิดระเบิดมาแล้วหลายครั้งในหลายศตวรรษที่ผ่านมา แผลงฤทธิ์ขว้างหินใหญ่ขนาดไม่เล็ก ปลิวว่อนไปไกล และส่อแววว่ายังคงโกรธเกรี้ยวอยู่กระทั่งทุกวันนี้

 
ภูเขาไฟเอ็ตนา etna

              มีบันทึกไว้ว่าเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในปี 475 และ 396 ก่อนคริสต์ศักราช และอีกครั้งใน ค.ศ. 812 หรือ 1169 และในคริตส์ศตวรรษที่ 14 ส่วนในปี ค.ศ.1669 เอ็ดนาได้ปริแยกเป็นทางจากยอดถึงเชิงเขา พ่นลาวาหลายล้านตันออกมาทำลายนครกาตาเนียตรงเชิงเขา รวมทั้งภูมิประเทศโดยรอบ การระเบิดครั้งย่อยๆ ก่อนและหลังจากนั้น รวมทั้งสิ้นกว่า 12 ครั้ง ในศตวรรษนี้ ได้ทำลายไร่นา และถมทั้บบ้านเรือนไปหลายหมู่บ้านอยู่เนื่องๆ

              แม้ว่าเรื่องราวการระเบิดของภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna จะสืบย้อนไปได้ถึงยุคสมัยของเทพปกรฌัม แต่ก็ยังนับว่าเป็นภูเขาไฟที่อายุน้อยอยู่ โดยเพิ่งผุดพ้นจากทะเลเมื่อประมาณหนึ่งล้านปี และเริ่มระเบิดครั้งแรกประมาณครึ่งล้านปีให้หลัง ปัจจุบันเอ็ดนาเป็นภูเขาไฟคุกรุ่นที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป มีรอบฐานวัดคร่าวๆ ได้ 160 กม. และครอบคลุมพื้นที่เกือบเท่ากับขนาดของกรุงลอนดอน


                 เช่นเดียวกับภูเขาไฟอีกหลายลูก ความสูงของภูเขาไฟเอ็ตนาได้เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง โดยปัจจุบันมียอดสูงประมาณ 3,320 ม. ทั้งที่ศตวรรษที่ผ่านมา ยอดของภูเขาไฟเอ็ตนาสูงกว่านี้ถึง 30 ม. ส่วนยอดมักเคลื่อนย้ายอยู่เสมอเนื่องจากการระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ส่วนบนสุดถล่มลงมา เกิดเป็นแอ่งรูปจานขึ้นขณะเดียวกันยอดใหม่ก็จะก่อตัวขึ้นใกล้ๆ กัน ภูเขาไฟเอ็ตนาเคยมียอดเขาอยู่ที่อื่นมาแล้วอย่างน้อยสองยอดก่อนมาเป็นยอดปัจจุบัน และที่ด้านข้างของภูเขาไฟมีแอ่งรูปจานขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง วัดโดยรอบได้ 20 กม. และด้านข้างลึกชันลงไปถึง 900 ม.

                 ภาพการเติบโตและเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อาจวางใจ คล้ายการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพขนาดมหึมา ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดขึ้นเมื่อได้เห็นก๊าซและไอน้ำที่เป่าพ่นออกมารวมกับลมหายใจผ่านช่องระบายไอน้ำและปากปล่องเล็กๆ อันที่จริงเอ็ดนาก็เช่นเดียวกับภูเขาไฟที่ยังระอุอยู่ลูกอื่นๆ คือเป็นลิ้นปิดเปิดที่มีรูรั่ว ซึ่งกั้นจุดบอบบางในเปลือกโลกอยู่

                เชื่อกันว่าการระเบิดเกิดจากบ่อลาวาขนาดยาว 30 กม. ลึก 4 กม. ลึกลงไปใต้ภูเขา บ่อนี้ได้รับสารที่หลอมละลายจากก๊าซปริมาณมหาศาลเอ่อขึ้นมาจากใต้เปลือกโลก แรงดันอันรุนแรงนี้ทวีขึ้น และหาทางออกมาตามด้านข้างและด้านบนของภูเขาไฟ จนดันล้นขึ้นมาที่พื้นผิวกลายเป็นน้ำพุเพลิง เมฆหมอกกำมะถัน และธารลาวาท่วมท้นลงมาตามลาดเขา
ความอุดมสมบูรณ์จากเถ้าภูเขาไฟ

                คงมีคนคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย แต่ความจริงแล้ว ลาดไหล่เขาของเอ็ดนาเป็นบริเวณที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดในชิชิลี เพราะแม้ว่าธารลาวาจากภูเขาไฟจะสามารถทำลายบ้านเรือนทรัพย์สิน รวมทั้งถนนหนทางและทางรถไฟให้พังพินาศลงได้ แต่มันก็ไหลลงมานานๆ ครั้ง และไหลช้าๆ แทบไม่ทำให้มีใครเสียชีวิต


 

                สิ่งดึงดูดใจอยู่ที่ว่าลาดเขามีความชุ่มชื่นจากาบ่อน้ำพุ ส่วนเถ้าภูเขาไฟก็ทำให้ดินกลายเป็นหนึ่งในดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก สามารถใช้ปลูกพืชผักได้ถึงห้าครั้งต่อปี ไม้ผลออกผลงาม และไวน์จากเอ็ดนาก็มีรสดีเลื่องชื่อ นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงยังคงสร้างบ้านเรือนและเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมา

                เกือบตลอดประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกเอาไว้ ผู้คนที่อาศัยอยู่บนผืนดินอันอุดมของภูเขาไฟเอ็ตนา ต้องเผชิญกับความรุนแรงสุดยอดของภูเขาไฟ มีเพียงคำสวดภาวนาต่อพระเจ้าให้ช่วยยับยั้งความกราดเกรี้ยวของเอ็ดนาเท่านั้นเป็นอาวุธ คนเหล่านี้เคยแห่บูชาผ้าคลุมหน้าของนักบุญอากาธา เพราะเชื่อว่าจะช่วยหยุดยั้งธารลาวาเอาไว้ได้ แต่เมื่อไม่เป็นผล ต่างก็ทำใจยอมรับชะตากรรมของตนและรอเวลาที่จะสร้างเรือนขึ้นมารใหม่บนซากที่ถูกทำลายไป


               แม้จะมีผู้พยายามที่จะเอาชนะการทำลายล้างของภูเขาไฟเอ็ดนาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าจะได้รับการยอมรับชื่นชมจากคนอื่นๆ เสมอไป ในปี 1669 มีผู้บันทึกไว้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในกาตาเนียพยายามเป็นครั้งแรกที่จะหันเหทิศทางของธารลาวา โดยขุดคูดักไว้เหนือหมู่บ้าน แต่เมื่อดูเหมือนว่าธารลาวาเปลี่ยนทิศไปทางหมู่บ้านที่อยู่ข้างเคียง พวกเขาก็จำต้องล้มเลิกไป
วิธีการสมัยใหม่

             เกิดปัญหาที่คล้ายกันในเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้ในการระเบิดเมื่อปี 1991 – 2 ซึ่งเหลือเวลาเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่เมืองซัฟเฟรานาจะถูกทับถมทำลายนั้น ศาสตราจารย์ฟรังโก บาร์เบรี ผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟของรัฐบาลอิตาลีชี้ให้เห็นว่า อันตรายใหญ่หลวงไม่ได้อยู่ที่ลาวาที่แผ่ขยายออกไป เพราะมันแข็งตัวอย่างรวดเร็วในที่โล่ง แต่อยู่ที่ธารลาวาแคบๆ ซึ่งจะไหลทันอย่างรวดเร็วลงตามคูและอุโมงค์ที่ขุดขึ้น จนพรั่งพรูล้นท่วมบริเวณที่ลาดที่อยู่ต่ำลงไป

           ดังนั้นบาร์เบรีจึงใช้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศอิตาลีและนาวิกโยธินสหรัฐฯ ไปทิ้งคอนกรีตก้อนใหญ่ๆที่ล่ามเข้าไว้ด้วยกันลงในช่องทางไหลที่อยู่สูงขึ้นไปบนไหล่เขา และระเบิดอุโมงค์ ที่อยู่ต่ำลงมา สำหรับทีมปฏิบัติงานในเฮลิคอปเตอร์ที่บินผ่านก๊าซ ไอน้ำและควันไปนั้น นับว่าต้องเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง แต่พวกเขาก็วางคอนกรีตไว้ได้ตรงตามจุดพอดี ก้อนคอนกรีตเหล่านี้เข้าไปอุดอุโมงค์ไว้เหมือนกับมันฝรั่งในกระชอน ทำให้ลาวากระจายตัวออกไปตามลาดเขาส่วนบนๆ และแข็งตัวกั้นทางไหลต่อไป ในช่วงเวลานั้น ซัฟเฟรานาเรียกได้ว่าแทนพ้นอันตรายแล้ว มีบ้านเรือรอบนอกหลายหลังถูกทำลายไป เจ้าของบ้านหนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งมีอัธยาศัยดีแบบชาวชิชิลีแท้ๆ ได้วางขวดไวน์เอาไว้บนโต๊ะ และอธิบายว่า “สำหรับเอ็ดนา เพราะมันคงเหนื่อยแล้วก็หิวน้ำ”
ทิวทัศน์จากยอดเขาเอ็ตนา Mount Etna

          การเดินขึ้นภูเขาเอ็ดนา ซึ่งไม่ยากเพราะลาดเขาไม่ชันนัก เป็นการเปิดหูเปิดตาเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของพื้นที่นี้เถาองุ่น ต้นส้มและต้นถั่วปิสตาลิโอขึ้นคลุมลาดเขาล่างๆ อยู่เต็ม แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแอปเปิลและเชอร์รี่ เหนือขึ้นไปเป็นลาดเขาที่ปกคลุมด้วยป่าต้นโอ๊ก ต้นเชสต์นัต ต้นเฮเชลและต้นเบิร์ช สูงขึ้นไปอีกเป็นหินลาวาที่พังลงมาตากแดดตากลมอยู่ ซึ่งแทบไม่มีอะไรงอกงามได้ นอกจากพืชพันธุ์แบบเทือกเขาแอลป์และเนินต้นมิลก์เวตช์ชิชิลีเป็นหย่อมๆ


ดอกไม้ในที่สูง ดอกไวโอเลตเอ็ตนาจะบานอยู่ตามกองเศษหินบนลาดเขาเท่านั้น

           ที่นี่ยังมีหลุมหิมะที่ไม่ละลายตลอดปี ซึ่งในสมัยก่อนหิมะเหล่านี้จะถูกโกยไปพร้อมกับเถ้าเย็นๆ จากนั้นก็จะถูกส่งไปยังเนเปิลล์และโรมในฤดูร้อนเพื่อใช้ทำไอศกรีม พวกขุนนางท้องถิ่นถือว่าเถ้านี้เป็นผลิตผลที่สำคัญกว่าไวน์เสียอีก อย่างไรก็ตามพื้นที่ใกล้ยอดเขาเป็นบริเวณที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตเลย เพราะเป็นดินแดนเวิ้งว้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยกากหิน เถ้าถ่านและหินลาวา คั่นด้วยร่องที่มีไอคุกรุ่นขึ้นมา สะท้อนให้รู้ถึงจุดเริ่มต้นของโลก ปากปล่องที่ดูคล้ายช่องท้องที่เปิดอ้าอยู่นั้นเปื้อนออกไซด์และซัลเฟต และมีความลึกต่างกันไปตามแรงไหลของลาวาที่อุดอยู่

ทิวทัศน์จากยอดเขา ภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna

              เวลาที่ดีที่สุดที่จะมาชมเอ็ดนาคือ ก่อนย่ำรุ่งเมื่อปากปล่องเต้นไปตามแสงเรืองสีแดง ซึ่งเป็นเครื่องบอกทางให้นักเดินเรือมาตั้งแต่มีการแล่นเรือในเมดิเตอร์เรเนียนเป็นต้นมา ครั้งแล้วดวงอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นเห็นชิชิลีและกาลาเบรียอยู่เบื้องล่าง เงาของเอ็ดนาทอดยาวมาทางเรา ไกลออกไปเห็นเกาะมอลตาอยู่ลิบๆ และขณะที่ความพินาศในยุคดึกดำบรรพ์ยังคงคุกรุ่นอยู่ใต้เท้านี้ ความคิดที่ว่านี่คือดินแดนที่เป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมตะวันตก คงพอจะปลอบประโลมใจได้


Cr.ความรู้รอบตัว.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น