วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันคริสต์มาส

ตำนานวันคริสต์มาส


                                 


คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

10 คำคม จาก 10 ภาษา



ภาษาจีน 每个人有自己的路要走(เม่ยเกอะเริ่น โย่วจื้อจี๋เตอะลู้เย้าโจ่ว)
ความหมาย ทุกคนมีทางเดินเป็นของตัวเอง
ทุกๆ คนมีสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ฝัน และทางเลือกเป็นของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เราชอบ อาจเป็นสิ่งที่อีกคนเกลียด หรือสิ่งหนึ่งที่เราฝัน อาจเป็นสิ่งที่อีกคนมีอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องไขว่ค ว้า เพราะฉะนั้นขอให้ภูมิใจกับทางเดินของตัวเอง เพราะนั่นคือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นตัวเราได้ดีที่สุ ด


ภาษาอังกฤษ Life is what we make of it
(ไลฟ์ อิส วอท วี เมค ออฟ อิท)
ความหมาย ชีวิตคือสิ่งที่เราสร้างเอง
คนเรา ถึงแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกสร้างชีวิตได้ ขวนขวายโอกาส และมีความพยายามได้สร้างชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้น เพื่อพร้อมรับโอกาสดีๆ ที่อาจจะเข้ามาได้ทุกเวลา ความสำเร็จในชีวิตสร้างได้ด้วยตัวเองค่ะ


ภาษาญี่ปุ่น 天は人の上に人をつくらず 人の下に人をつくらず(เทน วะ ฮิโตะโนอูเอะ นิ ฮิโตะโวะ ซึคุราซึ ฮิโตะโนะชิตะ นิ ฮิโตะโวะ ซึคุราซึ)
ความหมาย ฟ้ามิได้สร้างคนให้อยู่เหนือคน และมิได้สร้างคนให้อยู่ใต้คน
ประโยคนี้ ฟุคุซาวะ ยูคิชิ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคโอเป็นผู้พูด ซึ่งหมายความว่า คนเราทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่า เพราะฉะนั้นเราไม่ควรดูถูกผู้อื่น รวมถึงใครที่กำลังท้ออยู่ก็ห้ามคิดว่าตัวเองด้อยกว่า คนอื่น


ภาษาฝรั่งเศส Le génie est une longue patience(เลอ เจนี เอ อูน ลง ปาซิยองซ์)
ความหมาย อัจฉริยภาพคือความอดทนอันยาวนาน
การที่คนๆ หนึ่งจะกลายเป็นคนเก่งที่ฉลาดรอบรู้ได้นั้นไม่ใช่เรื ่องง่ายๆ แน่นอนว่าพวกเขาต้องขยันแล้วก็ขยัน ซึ่งความ ขยันที่ทุ่มเทลงไปนั้น อาจจะทำให้พวกเขาบางคนพลาดสิ่งสนุกๆ ในชีวิต เช่น การเที่ยวเล่นกับเพื่อน การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องอดทนและข่มใจเพื่อให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้


ภาษาเกาหลี 하늘에 별 따기(ฮานึลเล พยอล ตากี)
ความหมาย เด็ดดาวบนท้องฟ้า
หมายถึงสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องดูขีดความสามารถของเราด้วยว่าเรามีพลังพอที่จะทำ มั้ย แต่บางคนอาจเป็นพวกชอบลอง รู้ว่าไม่ได้ แต่ก็อยากลอง แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าเราเอาเวลาตรงนั้นไปมุ่งมั่นกับสิ่งที่มีโอกาสเป็ นไปได้ล่ะก็ คุ้มค่ากว่าเยอะเลย จริงมั้ย


ภาษาเยอรมัน Das Leben ist eine Reise(ดาส เลเบน อิส อายเนอ ไรเซอ)
ความหมาย ชีวิตคือการเดินทาง
อาจจะตีความหมายได้ 2 แง่คือเริ่มเดินทางตั้งแต่เกิดจนตาย หรือเดินทางเพื่อไปหาเป้าหมายในชีวิต แต่ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในรูปแบบไหน เราก็ต้องเจอทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี และอุปสรรคที่เราเจอนั้นจะยิ่งทำให้เราภูมิใจและสามา รถยิ้มได้ทุกครั้งที่ย้อนมองกลับไปว่าเราเอาชนะมันได ้


ภาษาสเปน Cuando una puerta se cierra, otra se abre(ก๊วนโด้ อู๊น่า ปูเอรฺต้า เซ เซียร่า โอ๊ตร้า เซ อาเบร่)
ความหมาย เมื่อประตูบานนึงถูกปิดลง อีกประตูก็จะเปิดขึ้น
เชื่อเถอะ ว่าถึงแม้ประตูบานนึงจะถูกปิดไป ก็ย่อมมีประตูอีกบานที่เปิดรับและฉายแสงส่องสว่างให้ อย่างดี หนทางไม่ได้มืดมนเสมอไป ถ้าเราเจอเรื่องแย่เรื่องหนึ่ง ลองมองรอบตัวดีๆ นะคะ สิ่งดีๆ อาจจะยืนรออยู่อีกมุมก็ได้


ภาษาเวียดนาม Ai cũng phải chết một lần(อาย กุ๊ง ฝาย เจ๊ท โหมด เหลิ่น)
ความหมาย คน เราตายได้แค่ครั้งเดียว
คนเราเกิด ครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ถ้าตายนั่นหมายถึงการสิ้นสุดของชีวิตที่ไม่สามารถทำ อะไรต่อไปได้อีก เพราะฉะนั้นลองคิดให้ดีนะคะว่าชีวิตตลอดเวลาสิบกว่าป ีหรือยี่สิบปีได้ใช้ทำอะไรที่มันคุ้มค่าบ้างแล้วหรือ เปล่า เพราะอนาคตคือสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไ รขึ้น รวมถึงเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันไหนคือวันสุดท้ายของชี วิตเรา


ภาษาอิตาเลียน Non fare il passo più lungo della gamba(นน ฟาเร่ อิล ปั๊สโซ่ ปิ๊ว ลุงโก้ เดลลา กัมบ้า)
ความหมาย อย่าก้าวเท้ายาวกว่าความยาวของขา
ในการ ก้าวนั้น ควรก้าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญคืออย่ารีบก้าวยาวมากไป เพราะแทนที่จะถึงจุดหมายไว เราอาจจะต้องลื่นล้มเสีย เวลาเจ็บตัวฟรีๆ เพราะฉะนั้นควรประมาณความยาวของขาและแรง พลังของตัวเองให้ดีว่ามีมากเท่าไหน ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม


ภาษาดัทช์ Waar een wil is, is een weg(วาร์ เอิ่นวิลอีส อีสเอิ่นเว็ก)
ความหมาย ถ้า ไม่ท้อถอยซะก่อน หนทางสำเร็จก็ไม่ไปไหน
ประโยคนี้ เป็นประโยคที่ผู้ใหญ่เอาไว้ปลอบใจเด็กหรือค นที่อายุน้อยกว่าในเวลาที่ท้อและต้องการกำลังใจ หรืออาจจะแปลง่ายๆ ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น


เมืองน่าเที่ยวประเทศเยอรมัน

-เมืองมิวนิค
เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน เป็นเมืองที่มีหอศิลปะสวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง งานมหกรรมใหญ่ประจำปีทั่วโลกรู้จักคือ Oktoberfest เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียง

ปราสาทนอยชวานชไตน์ 
ปราสาทนอยชวานชไตน์
เดินทางลัดเลาะไปตามเส้นทางไหล่เขาสู่ สะพานควีนแมรี่ ซึ่งเป็นจุด ชมวิวปราสาทที่ดีที่สุดชมความสวยงามของป่าไม้ และบ้านพักสไตล์ชาเล่ย์ ที่ประดับประดาไป ด้วยดอกไม้หลากหลายสี ชมทิวทัศน์อันงดงามของตัว ปราสาทท ที่โดดเด่น มีทะเลสาบและธาร น้ำล้อมรอบ ภายในตัวปราสาทที่ตกแต่งไว้อย่างอลังการ ปราสาทนี้สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 18–19รัชสมัยของพระเจ้าลุดวิกที่ 2ตามจินตนาการ ของคีตกวีชาวเยอรมนี ริชาร์ดวากเนอร์ พระสหายคู่ พระทัย ชม ห้องทรงงาน,ห้องบรรทม,ห้องฮอลล์ที่ใช้ในการแสดงโอเปร่าและคอนเสิร์ต รับฟังเรื่องราวอันน่าสลดใจ ของผู้ที่ สร้างปราสาทแห่งนี้

จตุรัสมาเรียนพลัทซ์
จตุรัสมาเรียนพลัทซ์ (Marienplatz)
Marienplatz (มาเรียนพลัทซ์) หรือ Mary's Square อยู่กลางใจเมืองของนครมิวนิค ตั้งแต่ปี ค.ศ.1158 (850 ปีมาแล้ว)ตั้งแต่ยุโรปสมัยกลาง (Middle Ages) เป็น " หัวใจ " ของเขตเมืองเก่า และเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มชมเมือง ในยุคกลางที่นี่เคยเป็นตลาด แต่ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการจัดงานสำคัญทางวัฒนธรรมต่างๆ มาเรียนพลาตซ์ มีสิ่งที่น่าชมมากมาย อาทิ Mariensauleรูปปั้นพระแม่มารีทองคำบนเขาสูงศาลาว่าการเมืองใหม่ ( Neuse Rathaus ) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ Glockenspiel หอระฆัง ที่มีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำ เวลา 11 โมงเช้าในหน้าหนาว และ 5 โมงเย็นในหน้าร้อน

เรสซิเดนซ์ 
เรสซิเดนซ์ (Residentz)
พระราชวังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ มิวนิค ที่ซึ่งเป็นที่ประทับและศูนย์กลางอำนาจของกษัตริย์บาวาเรียนมานาน ปัจจุบันห้องมีจำนวน 130 ห้อง ภายในพระราชวังเป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งเฟอร์นิเจอร์ ภาพเขียน เครื่องเคลือบ และเครื่องเงิน ไฮไลท์ที่ควรเยี่ยมชมคือ Antiquariumห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ที่สวยงาม( Residentz )

โอลิมปิกปาร์ก 
โอลิมปิกปาร์ก (Olympic Park)
ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่สำหรับการจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ที่มิวนิคเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1972ปัจจุบันนี้โอลิมปิกปาร์กเปรียบเหมือนส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตชาวเมือง ที่นี่เป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์กสมัยใหม่ที่สำคัญ 2อย่างของมิวนิค คือ หอโทรคมนาคม สูง 290เมตร และสเตเดียมทันสมัยสร้างแบบหลังคาเต็นท์ด้วยแท่งสลิงเหล็กยึดแขวนแผ่นอะครีลิกโปร่งแสงที่คลุม เป็นหลังคาเหมือนใยแมงมุม ถ้าไม่กลัวความสูง สามารถขึ้นลิฟต์ไปชมวิวชั้นบนสุดได้ (เสียค่าขึ้น 3 ยูโร) ภายในโอลิมปาร์กแห่งนี้ยังมีสระว่ายน้ำ และที่เล่นสเก็ตสำหรับผู้รักการออกกำลังกายทั้งหลาย

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียน 
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียน (The Bavarian National Museum)
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและศิลปะ โดยพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์นี้คือ คอลเลกชั่นงานศิลป์ชั้นยอด ตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงอาร์ตนูโว จัดแสดงเต็มพื้นที่ทั้ง 3ชั้น ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาวัฒนธรรมและศิลปะยุโรปในยุคต่าง ๆ ผ่านทางภาพเขียน เฟอร์นิเจอร์ งานหัตถกรรม เครื่องดนตรี และอาวุธในสมัยโบราณพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรีย

ตลาดวิคทัวเลียน 
ตลาดวิคทัวเลียน (Viktualienmarkt)
ถูกค้นพบในปี 1807 เป็นตลาดผักและผลไม้สดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ที่ที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาซื้อและหาของกิน ตั้งแต่ผักสด ๆ จากฟาร์มไปจนถึงผลไม้นำเข้า รวมถึงแผงลอยที่ขายอาหารทานเล่น เช่น ชีส ฮอตด็อก หรือไส้กรอกอีกนับไม่ถ้วนViktualienmarket

พิพิธภัณฑ์นอย พิกาโกเทค 
พิพิธภัณฑ์นอย พิกาโกเทค (Neue Pinakothek)
พิพิธภัณฑ์ศิลปะพินาโกเทคยุคใหม่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับอัลเท่อ พินาโกเทค (The Alter Pinakothek ) จัดแสดงภาพวาดและงานปติมากรรมยุโรปตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 20 ที่มีจุดเด่นอยู่ที่งานศิลปะเยอรมันในสมัยศตวรรษที่ 19 คอลเลกชั่นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งยวด นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นที่เก็บรวบรวมคอลเลกชั่นดี ๆ ของงานศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์จากประเทศอังกฤษ สเปน และฝรั่งเศส ในสมัยศตวรรษที่ 19อีกด้วย



-เมืองเบอร์ลิน
เมืองหลวงของประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นเมืองใหญ่สุด มีประชากร 3.5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรม มีโรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ต วงดนตรีขนาดใหญ่ที่เรียกว่าวงออเคสตร้า พิพิธภัณฑ์ และเวทีแสดงศิลปะและดนตรีที่มีชื่อเสียง

กำแพงเบอร์ลิน 
กำแพงเบอร์ลิน (Berliner Mauer)
อดีตแห่งการแบ่งแยกที่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่กิโลเมตร เพื่อเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับคนรุ่นหลัง จะมีไม้กางเขนปักอยู่ นั่นเป็นบริเวณที่ผู้หลบหนีในอดีตถูกยิงเสียชีวิตตรงนั้น เขาเลยเอาไม้ กางเขนมาปักเอาไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจ

พิพิธภัณฑ์ชาร์ลี เช็คพ้อยส์ 
พิพิธภัณฑ์ชาร์ลี เช็คพ้อยส์ (CHARLIE CHECKPOINT)
จุดตรวจคนเข้า-ออก ระหว่าง 2ฝั่งเบอร์ลิน ซึ่งท่านจะได้เห็นภาพของความพยายาม ในการหลบหนี ของผู้คนจากฝั่งตะวันออก สู่ฝั่งตะวันตก

ประตูบรานเดนบวร์ก 
ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburger Tor/Brandenburg Gate)
เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลินเพราะเป็นประตูเมืองเก่า ได้รับการก่อสร้างระหว่าง ค.ศ.1788-91ตามศิลปะแบบโรมัน โดยฝีมือ C.G.Langhans ตั้งอยู่ที่ Pariser Platz และถนน Unter den Linden สถานที่แห่งนี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบสุข และมีความสำคัญโดยเป็นจุดแบ่งกรุงเบอร์ลินออกเป็นสองส่วนคือตะวันออกและตะวันตก ด้านบนมีรูปปั้นชื่อ Quadrigaสูง 5เมตร มีราชินีแห่งชัยชนะ (Siegesgoettin Viktoria)ควบขับรถเทียมม้า 4ตัว มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกของเบอร์ลิน ในมือถืออิสริยาภรณ์กางเขนเหล็กกับพวงมาลัยใบมะกอกและ นกอินทรีซึ่งเป็นสัตว์ที่แสดงอำนาจของยุคปรัสเซียร์ (Preussen/Prussia)
พระราชวังชาล็อตเทนเบิร์ก 
พระราชวังชาล็อตเทนเบิร์ก (Schloss Charlottenburg)
พระราชวังอันสวยงาม เดิมเป็นที่ประทับฤดูร้อนในสมเด็จพระราชินีโซเฟียชาล็อต สร้างปลาย ศตวรรษที่ 17 และมีการต่อเติมเรื่อยมาในศตวรรษที่ 18 เดิมมีชื่อว่า Lietzenburg เป็นพระราชวัง สำหรับฤดูร้อนของพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 1ต่อมาเมื่อพระราชินีคือพระนางโซเฟีย ชาล็อตสวรรคตลง จึงเปลี่ยนชื่อพระราชวังตามชื่อของพระนางเพื่อเป็นการรำลึกถึง นางฟ้าบนยอดปราสาทหมุนได้ ตามแรงลม ดังนั้นแต่ละวันเธอจะหันหน้าไปคนละทิศกัน เชื่อว่าถ้าเธอหันหน้ามาทางทิศที่เราอยู่จะ โชคดี หรือไม่ก็เดินหามุมไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอเอง

อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ 
อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ (Siegessaeule)
สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคปรัสเซีย เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการต่อต้านพวกเดนมาร์กในปี1864ออสเตรียในปี 1866 และฝรั่งเศส ในปี 1870-71เป็นเสาสูงประมาณ 69เมตร ออกแบบก่อสร้างโดย J.H.Strackระหว่าง ค.ศ.1865-73 แต่ชาวเบอร์ลินมักจะเรียกสถานที่นี้ว่า Golde Else หรือ Victoria แห่งเบอร์ลิน บนยอดเสาคือรูปปั้นของวิคตอเรีย (Victoria)เทพีแห่งชัยชนะ ถือพวงมาลัยจากใบมะกอก (สัญลักษณ์ของชัยชนะ) กับหอก รูปปั้นนี้หนัก 35 ตัน สูง 8 เมตร มีบันได 285 ขั้น สามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ บริเวณนี้ทั้งหมดเรียกว่า Grosser Stern แปลว่าดาวดวงใหญ่ เพราะมีถนนห้าสายใหญ่มาบรรจบกันที่อนุสาวรีย์นี้ ถ้ามองจากข้างบนลงมาจึงดูคล้ายรัศมีของดาวที่เป็นแฉก




-เมืองพอตสดัม (POTSDAM)
อีกหนึ่งเมืองสวยของอดีตเยอรมันตะวันออก ซึ่งถูกซ่อนเก็บไว้หลังกำแพง ความแตกแยก
มากว่า 40 ปี


พระราชวังซองส์ ซูซี 
พระราชวังซองส์ ซูซี (SANS SOUCI)
ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส ในความหมายว่า “ไร้กังวลหรือไกลกังวล” ซึ่งมีความงดงามไม่แพ้พระราชวัง แวร์ซายส์ เป็น​ที่ประทับฤดูร้อนของ​พระมหากษัตริย์ (ไร้กังวลหรือไกลกังวล)นี้​ได้กลาย​เป็นมรดกโลก ภายใต้การคุ้มครอง ขององค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ. ๑๙๙๐​และมีหน่วยงานด้านการดูแลพิพิธภัณฑ์คอยบำรุงรักษา ปัจจุบันนี้มีคน เข้าเยี่ยมชมมากกว่าปีละ ๒ล้านคนจากทั่วโลก คฤหาสน์ไกลกังวลนี้​เป็น​พระราชวังฤดูร้อน ของ​พระเจ้า เฟรเดอริคมหาราชแห่งปรัสเซียค่ะ​หาก​จะเปรียบเทียบก็ประมาณว่า ​เป็นคู่แข่ง​กับ​พระราชวังแวร์คซายส์ เห็น​จะ​ได้ ​แต่คฤหาสน์ไกลกังวลนี้ขนาด​จะเล็กกว่ามาก ผู้ออกแบบ​คือ Georg Wenzeslaus von Knobelsdorff ตาม​พระบัญชาของเฟรเดริคมหาราช​ที่ทรงประสงค์​จะมี​ที่พักผ่อนอันสงบจากงานพิธีในกรุงเบอร์ลิน ​พระราชวังหลังนี้ใหญ่กว่าวิลล่าขนาดใหญ่สองชั้นไม่มากนัก ​และมีห้องหลัก ๆ​ แค่ ๑๐ ห้อง ​แต่ปลูกสร้างบนเนิน​ที่ทำ​เป็นเทอร์เรซไล่เลียงลงเนิน​ไปตามลำดับ






-เมืองโคโลญจ์ เมืองนี้ประกอบด้วยโบสถ์สวยงามมากมาย มีประชากรประมาณ 1,000,000 คน เป็นเมืองเก่ากว่า 2000 ปี และยังเป็นศูนย์กลางศิลปะ ดนตรี ร่วมสมัย รวมทั้งมหาวิทยาลัยโคโลญจ์ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1388 ปัจจุบันมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาระดับสูงอื่น ๆ อยู่เกือบแสนคน

มหาวิหารโคโลญจน์ 
มหาวิหารโคโลญจน์ (Cologne Cathedral หรือ Kolner Dom) 
สร้างสำเร็จพร้อมกับมีพีธีวางหลักหินบันทึกข้อมูลการก่อสร้าง โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1791แต่มีปัญหาให้ต้องหยุดพักการก่อสร้างไปบ้าง จึงต้องใช้เวลากว่าหกร้อยปีจึงสร้างเสร็จสมบูรณ์ มหาวิหารโคโลญจน์เป็นศาสนสถานของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก นับเป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น (แม้ปัจจุบันก็ยังติดอันดับ 3 ของโลก)ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิก(Gothic) เป็นหอคอยแฝดสร้างเพื่ออุทิศให้ นักบุญปีเตอร์และ พระแม่มารี ปัจจุบันมหาวิหารโคโลญจน์นับจุดหมายสำคัญของเมืองโคโลญจน์และประเทศเยอรมนี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1996




-เมืองแฟรงค์เฟิร์ท ( Frankfurt )
เมืองซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำไมน์ เป็นเมืองที่มีประวัติต่อเนื่องอันยาวหลายศตวรรษเคยเป็นสถานที่ ซึ่งกษัตริย์ และจักรพรรดิหลายพระองค์เคยใช้ ประกอบพิธีราชาภิเษก ในปัจจุบัน แฟรงเฟิร์ตกลาย เป็นเมืองศูนย์กลางการคมนาคมเชื่อมโยงไปทั่ว ประเทศ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงทางการค้าของ เยอรมัน

จัตุรัสโรเมอร์
จัตุรัสโรเมอร์
ที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ความสำคัญของที่แห่งนี้มี เดอะไคเซอร์ซาล หรือห้องจักรพรรดิที่มีการฉลองพิธีการสวมมงกุฎอันยิ่งใหญ่ ตรงกลางจัตุรัสเป็น น้ำพุแห่งความยุติธรรมด้านหน้าเป็นบ้านโครงไม้สมัยกลางที่ได้รับการบูรณะแล้ว


วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556



การทักทายของของชาวต่างชาติ

-ประเทศจีน , ญี่ปุ่น และเกาหลี มักจะทักทายด้วยการโค้งคำนับ
-ประเทศไทย และประเทศอินเดีย จะใช้วิธีการไหว้
-ประเทศอิตาลี จะทักด้วยการกอดพร้อมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ
-ประเทศเซเนกัล ชนเผ่าโวลอฟ ค้อมตัวลงแล้วนำหลังมือของผู้อาวุโสมาแตะหน้าผากตัวเอง
-ประเทศแทนซาเนีย ห้ามมองหน้าอีกฝ่ายและต้องคุกเข่าลงพร้อมตบมือขณะทักทายผู้อาวุโส
-ประเทศเคนยา ชนเผ่าคิคูยู บ้วนน้ำลายตัวเองบนฝ่ามือของอีกฝ่าย เพื่ออวยพรให้โชคดี
-ประเทศนิวซีแลนด์ ชนเผ่าเมารี เอาจมูกแตะกันและคลึงเล็กน้อย วิธีนี้เรียกว่า “คีโอร่า” จะแตะกัน 2 ครั้ง แต่ถ้า 3 ครั้งเรื่องใหญ่แน่ๆ เพราะหมายถึง “แต่งงานกันไหม?”
-ประเทศทิเบต ดึงหูทั้งสองข้างของตัวเองไว้พร้อมแลบลิ้น
-ประเทศอาร์เจนตินา หอมแก้มกันและทำเสียง”จุ๊บ”เวลาทักทาย
-ประเทศบราซิล ชนพื้อเมืองในบราซิลจะใช้ใบหน้าและส่วนอกสัมผัสกันพร้อมหอมแก้ม
-ประเทศสหรัฐอเมริกา หอมแก้มกันเมื่อทักทายเพื่อนหรือคนในครอบครัว
-อะแลสกา ชนเผ่าเอสกิโมเอาจมูกแตะกันและคลึงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพและการต้อนรับ
-ประเทศอินเดียเหนือ ชาวลาดัก ทักทายโดยยกมือขวาขึ้น
-ประเทศอิรัก  ทักทายหญิงสาวที่ใส่ผ้าคลุมหน้าโดยใช่ฝ่ามือทาบที่หน้าอกตัวเอง   สำหรับหญิงสาวที่ไม่ใส่ผ้าคลุมหน้าใช่การจับมือ
-ประเทศฝรั่งเศส จะแนบแก้มกับแก้มของอีกฝ่ายและทำเสียงจุ๊บ
-ชนเผ่าฮาวาย จะพูดว่า “อะโลฮา” ชูนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยส่ายไปมาในการทักทายเพื่อน
-แอฟริกา ชนเผ่ามาไซจะทักทายโดยการ ถ่มน้ำลายใส่หน้า
-สหรัฐอเมริกา จะพูดว่า”ไฮ” ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนใช่การจับมือ
-สำหรับคนยุโรปยุคใหม่ ภาพที่เห็นได้บ่อยกว่าคือการทักทายแบบ “แก้มชนแก้ม” ซึ่งใช้ในการทักทาย แสดงความยินดี ให้กำลังใจ หรือแสดงความเคารพ โดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์โรแมนติกเจือปน การทักทายแบบนี้พบมากทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง รวมทั้งที่ละตินอเมริกา ซึ่งทั้งชายและหญิงใช้แก้มทักทายกันโดยไม่จำเป็นต้องสนิทกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้แก้มชนกัน 2-3 ครั้ง แล้วแต่วัฒนธรรมแต่ละพื้นที่ และอาจจะมีการกอดหรือเชคแฮนด์ร่วมด้วย














วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุกสบายที่สุดในโลก !!


             เพราะคุกบาสตอยของนอเวย์ ได้รับอนุญาตให้นักโทษมีสิทธิทำกิจกรรมต่างๆภายในคุก ทั้งนอนอาบแดด เดินชมชายหาด หรือเล่นกีฬา ส่วยงานของนักโทษ คืองานทำไร่ ซ่อมรถจักรยาน และงานในโรงไม้



            โดยนักโทษยังได้รับค่าตอบแทนวันละ 6 ปอนด์และได้รับเบี้ยเลี้ยงจำนวน 70 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เพื่อนำไปซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตอีกด้วย ขณะที่ทางผู้คุมเรือนจำเผยว่าการปฏิบัติดังกล่าวจะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมของนักโทษไม่ให้ทำผิด และกลับมาเข้าคุกได้อีกแต่ก็ยังอยู่ขั้นการทดลองเท่านั้น เห็นทีงานนี้คงจะมีนักโทษเพิ่มขึ้นแน่ๆ เพราะคุกน่าอยู่กว่าบ้านจองตนเองเสียอีก


บ้านไม้สีหวานซึ่งเป็นที่พักของนักโทษ



ห้องสมุดของเรือนจำบาสตอย



เกาะบาสตอยซึ่งใช้เวลาขับรถจากกรุงฮอสโลไปทางทิศใต้เพียง 1 ชั่วโมง




วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มากำจัดความเบื่อกัน ! 0.0





ด้วยเทคนิคช่วยบูทส์อารมณ์ตื่นเต้น ปลุกประสาทตื่นตัว สร้างแรงบันดาลใจพร้อมลุยให้ลุล่วง!

ในบางโอกาสที่จำต้องเกี่ยวข้องกับกิจกรรม หรือ รับผิดชอบในสิ่งที่ไม่รู้สึกสนใจ ดูจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ และยากจดจ่ออยู่ได้นาน แต่ทว่าเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยง แล้วยังคงความอิดหนาระอาใจไว้ ย่อมไม่เกิดประโยชน์ หรือ ช่วยให้ลุแก่หน้าที่นั้นได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญหนึ่งในการช่วยบูทส์อารมณ์ให้ตื่นตัวพร้อมลุย! คือ ‘การสร้างแรงบันดาลใจ’
 
จะสังเกตว่า อารมณ์เบื่อนั้น อาจเกิดจากความวิตกกังวลมากเกินไป เกี่ยวกับภาระหลายด้านที่ต้องรับผิดชอบในห้วงเวลาเดียวกัน ชวนให้บั่นทอนพลังใจได้ ลองเปลี่ยนมุมมองจากความเบื่อ มาโฟกัสที่รางวัลชิ้นงามหลังงานสำเร็จ เช่น ความตั้งใจที่จะใช้เวลาพักผ่อนทำกิจกรรมโปรดอย่างเต็มที่ เป็นต้น ซึ่ง ‘การตั้งรางวัลให้ตนเอง’ นี้ เป็นเทคนิคหนึ่งที่หลายคนบอกว่า ช่วยสร้างความสดชื่นกระชุ่มกระชวยในใจได้ดี กระตุ้นให้ตั้งมั่นขับเคลื่อน เพื่อเร่งสะสางงานนั้น ๆ ด้วยความเรียบร้อยโดยเร็ว
 
นอกจากนั้น ‘การนึกถึงความสำเร็จที่ผ่านมา’ ไม่ว่าจะด้านวิชาการ กีฬา หรือ จากความสามารถพิเศษในทางอื่น ๆ ซึ่งสร้างความภูมิใจเมื่อครั้งอดีต ถือเป็นกำลังใจอย่างดี เพราะหลักสำคัญหนึ่ง คือ เคยก้าวผ่านฝ่าฝันโจทย์ที่แฝงความเหนื่อยหน่ายในช่วงนั้น ๆ มาแล้วด้วยความพยายาม ถึงวันนี้..อย่าลืมความเชื่อมั่นว่าต้องทำได้เช่นกัน!
 
ขณะที่ ‘การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบนโต๊ะทำงาน’ เดือนละครั้ง จัดระเบียบเอกสาร ของใช้ ให้เข้าที่เข้าทาง ก็ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น โดยอาจสร้างพื้นที่สีเขียวเล็ก ๆ บนโต๊ะทำงาน เป็นจุดพักสายตา ซึ่งเคยมีการศึกษาจากต่างประเทศพบว่า สีเขียวนอกจากจะให้ความรู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ดี.
สัญญาณอาการติดสมาร์ทโฟนอย่างหนัก




สมาร์ทโฟน กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีติดตัวไว้สำหรับเหล่าวัยรุ่น และวัยทำงานทั้งหลาย ด้วยเทคโลโลยีที่ก้าวไกลทำให้จากโทรศัพท์มือถือธรรมดา กลายเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ต้องการ ทำให้หลายคนขาดสมาร์ทโฟนไม่ได้ จนเกิดอาการที่เรียกว่าติดสมาร์ทโฟนขึ้นมา

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังติดสมาร์ทโฟนอย่างหนัก มีดังนี้

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 
1. ดูโทรศัพท์ทุกครั้งที่มันดัง ไม่ว่าจะดังด้วยเหตุผลอะไร เช่น แจ้งเตือนข้อความเข้า อีเมลล์ แชท อัพเดต โซเชียลเน็ตเวิร์ค คุณก็จะต้องหยิบขึ้นมาดูในทันที ไม่ว่าจะกำลังยุ่งอยู่กับอะไรอยู่ก็ตาม หรือว่าสถานการณ์นั้นจะไม่เหมาะสมต่อการหยิบขึ้นมาคุณก็ไม่สนใจ

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 2. หลอนว่าโทรศัพท์สั่น คุณจะรู้สึกว่าโทรศัพท์สั่นอยู่บ่อยๆ แต่พอหยิบมาดูก็ไม่มีอะไร เนื่องจากความพะวงว่าจะมีข้อความเข้า หรือแจ้งเตือนอะไร อยู่ตลอดเวลา จนทำให้เกิดอาการหลอน

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 3. กังวลตลอดเวลา เกี่ยวกับบุคคลในสังคมออนไลน์ ว่าจะกำลังทำอะไร มีเหตุการณ์อะไรในโซเชียลเน็ตเวิร์คเกิดขึ้นบ้าง คุณจะไม่อยากพลาดสักเหตุการณ์เดียว ไม่เช่นนั้นจะทำให้รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 4. ไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่ว่าจะทำอะไร ทานข้าว นั่งรถ อยู่กับครอบครัว คุณจะไม่สนใจใคร แต่จะอยู่กับมือถือตลอดเวลา ทานข้าวก็ต้องวางไว้ข้างๆ หรือหยิบมาเล่นไปด้วยทานไปด้วย เป็นต้น

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 5. ไม่เป็นอันทำอะไร หรือจะหงุดหงิด จิตตกมาก เมื่อต้องอยู่ห่างจากมือถือ หรือตอนที่มือถือแบตหมด ซึ่งคุณจะยายามให้สามารถใช้งานได้อย่างเร็วที่สุด

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 6. ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ทำให้ผลการเรียน หรือผลงานออกแย่กว่าเดิม เพราะมัวแต่เอาเวลาไปสนใจแต่มือถืออยู่นั่นเอง

หากคุณมีอาการเหล่านี้นั่นแสดงว่าคุณกำลังติดสมาร์ทโฟนอย่างหนักเลยทีเดียว และทำให้มีผลต่อชีวิตประจำวันของคุณด้วย ทางที่ดี ควรมีปฏิสัมพันธกับคนรอบข้างบ้าง และรีบปรับพฤติกรรมอย่างด่วน

เคยได้ยินไหมที่เค้าเตือนกันผลวิจัยชี้ยิ่งหิวยิ่งซื้ออาหารขยะ ?







ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาวิจัยที่พบว่าผู้ที่อดอาหารหรืออยู่ระหว่างการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักจะซื้อและบริโภคอาหารมากกว่าผู้ที่ใช้ชีวิตปกติ

อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยดังกล่าวดูเหมือนจะไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก แต่ล่าสุดทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์พบว่า ผู้ที่รู้สึกหิวจะมีความเป็นไปได้ที่จะซื้ออาหารที่ไม่มีประโยชน์หรือมีแคลอรีสูงมากกว่า ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตได้
 
ผลการวิจัยดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอเมริกัน เมดิซิน อินเทอร์นัล เมดิซิน เมื่อเร็วๆ นี้ มีขึ้นเพื่อตอบคำถามของนักวิจัยที่สงสัยว่าการออาหารนั้นส่งผลต่อการเลือกซื้ออาหารหรือไม่
ทีมวิจัยทำการทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานดังกล่าวโดยศึกษาจากอาสาสมัครจำนวน 68 คน ซึ่งถูกกำหนดให้ทำการอดอาหารเป็นเวลา 5 ชั่วโมง ก่อนจะทำการทดลองด้วยการซื้ออาหารจากร้านค้าออนไลน์ที่จำลองขึ้นมา โดยมีสินค้าที่มีแคลอรีสูง เช่น ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว และเนื้อแดง รวมถึงอาหารแคลอรีต่ำ เช่น ผลไม้ ผัก และเนื้ออกไก่ ให้เลือกซื้อโดยไม่มีการกำหนดราคา

จากนั้นทำการทดลองซ้ำกับอาสาสมัครกลุ่มเดิมแต่ให้เลือกซื้ออาหารหลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว นอกจากนี้ยังมีการตามเก็บข้อมูลจากผู้ที่เข้าซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตในเวลาหลังอาหารกลางวันขณะอิ่มและก่อนเวลาอาหารขณะที่กำลังหิวด้วย

ทั้งนี้ผลการทดลองพบว่าผู้ที่กำลังหิวจะเลือกอาหารที่มีแคลอรีสูงในจำนวนที่มากกว่าคนที่กำลังอิ่ม แต่จำนวนอาหารที่เลือกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย

ทั้งนี้ทีมวิจัยระบุว่าผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นความเสี่ยงของสุขภาพของประชาชนเป็นวงกว้างเนื่องจากการอดอาหาร ไม่ว่าจะเป็นไปตามความเชื่อทางศาสนา เพื่อลดน้ำหนัก หรือเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย เป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป ดังนั้น ทีมวิจัยเตือนว่าไม่ควรที่จะเลือกซื้ออาหารในช่วงเวลาที่กำลังหิว เช่น ช่วงบ่ายแก่ๆ สามารถส่งผลกระทบต่อการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ได้
 
สัญญาณ WiFi อันตรายที่มองไม่เห็น




ปัจจุบันมีการใช้สัญญาณ WiFi อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ แต่ใครจะรู้บ้างว่าสัญญาณเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก เพราะสมองและส่วนกะโหลกศีรษะของเด็กยังกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต

Dr.Om Ghandhi แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ กล่าวว่า เนื้อสมองของเด็กวัย 5-10 ขวบ ซึ่งยังอ่อนอยู่ จะถูกสัญญาณของคลื่น WiFi ทะลุทะลวงได้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่

ดังนั้น หากที่บ้านของเรามีสัญญาณ WiFi และคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้เด็กๆ ได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือแท็บเล็ต หรือเล่นเกมทางอินเทอร์เน็ตนั่น อาจต้องระวังให้มากว่าเด็กๆ กำลังเสี่ยงกับการมีปัญหาสุขภาพที่เกิดจาก WiFi และหากคลื่นสัญญาณมีกำลังแรงมาก อาจส่งผลทำให้เด็กบางคนเกิดอาการดังนี้
1. ปวดศีรษะบ่อยๆ (ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์)
2. มีอาการเวียนหัวและรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน
3. มองเห็นเลือนรางและมีความผิดปกติทางการมองเห็น เช่น เห็นพื้นที่กำลังเดินอยู่มีลักษณะเอียง หรือมีความรู้สึกเหมือนเดินลงเขา
4. มีความผิดปกติทางการได้ยิน เช่น ได้เสียงของคุณครูฟังดูแปลกๆ มีเสียงสูง ต่ำ ทั้งๆที่คุณครูยังคงพูดเสียงปกติเหมือนเดิม
5. มีปัญหาในเรื่องของความจำ
6.ไม่มีสมาธิเวลาเรียนหรือขาดความสนใจในบทเรียน
      
มีงานวิจัยที่กล่าวถึงผลของ Wi-Fi ต่อสุขภาพ พบว่า สัญญาณ Wi-Fi มีผลต่อทารกในครรภ์มารดา ซึ่งรายงานนี้ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ ที่มีชื่อว่า the Australasian Journal of Clinical Environmental Medicine
       
โดยรายงานนี้ได้ระบุว่า สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยจากอุปกรณ์ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เป็นสาเหตุให้เกิดการจับตัวกันของธาตุโลหะในเซลล์สมอง ซึ่งการสะสมนี้จะทำให้เกิดอาการออทิสติกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าสัญญาณ WiFi เป็นอันตรายกับเด็ก เพราะสัญญาณที่ส่งออกไปทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดการทำงาน ทำให้ไม่สามารถหายใจได้สะดวก และทำให้ดีเอ็นเอภายในร่างกายถูกทำลายและทำงานไม่เป็นปกติหลังจากได้รับไปเป็นเวลานาน และคลื่นเหล่านี้ถูกค้นพบว่าทำให้มีผลต่อเม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
       
ในปัจจุบันโรงเรียนประถมเซนต์วินเซนต์ยูเฟรเซีย ใน Meaford ออนตาริโอ ของแคนาดา ได้ห้ามไม่ให้มีระบบสัญญาณ Wi-Fi ในโรงเรียนระดับอนุบาลและประถมต้น เช่นเดียวกับบางโรงเรียนอนุบาลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เนื่องจากมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า คลื่นความถี่ของระบบสัญญาณ WiFi ที่มีความเข้มข้นนั้นอาจมีผลเสียต่อพัฒนาการและอาจทำให้เกิดเนื้องอกในสมองของเด็กได้
       
แม้การมีคลื่นสัญญาณ WiFi ใช้สร้างประโยชน์ให้กับเราอย่างมากมาย ทั้งเรื่องการติดต่อสื่อสาร การค้นคว้าข้อมูลเพื่อการศึกษา การทำธุรกิจการค้า ฯลฯ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่มีแต่ประโยชน์และไม่มีโทษร่วมด้วย ดังนั้นจึงควรใช้มันอย่างฉลาด รู้จักควบคุมการใช้ของตัวเอง เช่นการไม่ใช้นานเกินไปในแต่ละวัน หรือใช้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้นก็พอ

ซึ่งนอกจากสัญญาณ WiFi แล้ว ยังรวมถึงการใช้ไมโครเวฟ และโทรศัพท์มือถือด้วยที่มีผลเสียต่อร่างกายได้ถ้าใช้อย่างไม่ระวังหรือมากเกินไป


5 อาชีพแปลกเงินเดือน !!


               แน่นอนว่า การมองหาอาชีพ ในยุคนี้คงจะพิจารณาองค์ประกอบหลายๆ อย่าง และรอบด้าน เพื่อจะได้ไม่พลาด เพราะการลงทุนแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินจำนวนมาก web Sanook Money ได้ไปรวบรวมอาชีพสุดแปลก จากเว็บไซต์ดังในต่างประเทศ ไม่ได้แปลกอย่างเดียว แต่ยังทำเงินต่อเดือนในระดับที่น่าพอใจเลยที่เดียว ลองมาพิจารณากันดูว่า 5 อาชีพแปลกที่ทำ
เงินสุดแพง นั่นมีอะไรกันบ้าง !!


1.สัปเร่อ
รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 45,060 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1,400,000 บาท อาชีพนี้ เป็นอาชีพที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก แต่กลับมีรายได้สูงมากที่เดียว ทั้งการแต่งหน้าศพ ทำผม แต่ฟังดูเป็นอาชีพที่น่าขนลุกไม่น้อย แต่ถ้าใครใจกล้า รับรองว่ารายได้ไม่ธรรมดาจริง




2.นักชิมไอศกรีม
รายได้เฉลี่ยต่อปี อยู่ที่ 56,000 ดอลล่าร์ หรือ ประมาณ 1,750,000 บาท ฟังดูแล้วอาชีพนี้ น่าสนใจแถมรายได้ไม่ธรรมดาอีกด้วย เหมาะกับคนที่ชอบทานของหวาน ก็น่าจะชอบ ฟังดูแล้วอาชีพนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าทำไมรายได้อาชีพถึงดีอย่างไม่น่าเชื่อ ก็เพราะว่าชีวิตในแต่ละวันของนักชิมไอศกรีม เจอกับสารปรุงแต่งต่างๆ ที่เป็นสารเคมี มากมายนั่นเอง
       


5 อาชีพแปลก เงินเดือนสุด





5 อาชีพแปลก เงินเดือนสุด

3.นายแบบ นางแบบ เฉพาะส่วน
รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 55,000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1,710,000 บาท อาชีพนี้ ถ้าใครเกิดมามีรูปร่างดี สัดส่วนดี ก็ถือเป็นโชคดีก็แล้วกัน เพราะในต่างประเทศ มักจะมีการถ่ายเฉพาะส่วน เพื่อลงในนิตยสาร หรือ หนังสือต่างๆ ถ้าใครมีอวัยวะสวยงามทุกส่วนของร่างกายละก็ รับรองเงินแน่นกระเป๋าอย่างแน่นอน




5 อาชีพแปลก เงินเดือนสุด


4.นักพากย์เสียง
รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 50,000 -80,000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1,500,000 -2,500,000 บาท นักพากย์เสียง ยิ่งถ้ามีประสบการณ์เยอะ ก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการสร้างรายได้ 300 ดอลล่าร์ ภายใน 5 นาที

       


5.นักช็อปปิ้งปริศนา
รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 20-30 ดอลล่าร์ ต่อครั้ง หรือประมาณ 600-1,000 บาท คนเหล่านี้ เป็นนักชอปปิ้ง ที่บริษัทจ้างขึ้นมา เพื่อปลอมตัวเป็นลูกค้าจริงๆ เพื่อที่จะทำการประเมิน คุณภาพของร้านค้าว่า ควรดูแลพนักงานของเขาอย่างไร


































ประเทศ เล็กๆ "จิ๋วแต่แจ๋ว" อย่างสิงคโปร์มักได้รับการยกย่องว่าทำอะไรต้องดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของโลก ล่าสุด "บาร์เคลย์" สถาบันการเงินชื่อดังของอังกฤษ เผยผลสำรวจทำไมคนสิงคโปร์ยกระดับฐานะได้เร็วที่สุดในโลก โดยสำรวจจากผู้มีรายได้สุทธิทั่วโลก 2,000 ราย พบว่าคนสิงคโปร์ใช้เวลา 10 ปียกฐานะจากคนชั้นกลางกลายเป็นมหาเศรษฐีในพริบตา

อาจจะ บอกว่าก็เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งก็ถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจากการสำรวจพบว่า 72% ของคนสิงคโปร์ไม่ได้งอมืองอเท้า ไม่ง้อโชคชะตา แต่ขอรวยด้วยลำแข้งของตัวเอง หากเปิดกระเป๋าดูจะพบว่าคนสิงคโปร์มีทรัพย์สินถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ หรือ 45 ล้านบาทไทยเลยทีเดียว

เคล็ดลับอะไรที่ทำให้คนสิงคโปร์ รวยขนาดนี้ หากบอกแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าหลักการง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ นั่นคือ "การออม" นั่นเอง ชาวสิงคโปร์ 55% ยกฐานะตัวเองด้วยเงินรายได้ จากการทำงานพร้อมกับฝากเงินก้อนโตกินดอกเบี้ยธนาคาร คนไทยคงจะรวยด้วยวิธีนี้ลำบากเพราะดอกเบี้ยบ้านเราต่ำเรี่ยดิน

ประกอบ กับเงินทุนต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย ทำให้กระแสเงินตราในภูมิภาคนี้สะพัด จีดีพีขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ตลาดหุ้นก็เลยสดใสตาม คนสิงคโปร์นำเงินที่เก็บหอมรอมริบมาลงทุน หรือบางส่วนก็นำมาฝากแบงก์

เมื่อ เศรษฐกิจเติบโตคนสิงคโปร์ยิ่งเร่งทำงานและเก็บเงินเก็บทองจนสร้างฐานะร่ำรวย ไม่น้อยกว่า 5 เท่าหรือมากกว่านั้น แต่ใช่ว่าเขาจะตระหนี่ถี่เหนียวอย่างเดียว แต่ยังเจียดเงินส่วนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายซื้อของราคาแพงๆหรูๆ จึงไม่แปลกใจว่าจะเห็นรถเฟอร์รารี่ไม่น้อยแล่นอยู่บนถนน หรือยอมจ่ายค่าเครื่องดื่มราคาแพงระยับด้วยบรรยากาศหรูหรา ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ราวๆ 16% ของรายได้และยังมีค่าภาษีสังคม ที่เหลือจากนี้คือเงินออมทั้งหมด

แม้ว่าจะมีฐานะร่ำรวย แต่น่าประหลาดใจที่คนสิงคโปร์เแค่ 13% ที่บอกว่าทรัพย์สินที่เก็บหอมรอมริบจะมอบเป็นมรดกให้ลูกหลาน แต่กว่า 50% บอกว่าจะมอบให้การกุศล ไม่ใช่รวยแล้วงก ยังมีจิตใจเอื้อเฟื้อ

หากคนไทยอยากรวยแบบคนสิงคโปร์ ต้องรู้จัก "ออม" ตั้งแต่วันนี้

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

1. เวลาอ่านหนังสือ หรือบทเรียนให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่จะไม่อ่านไปเรื่อย ๆ คือเราจะ หยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว

2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ ! แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟัง คือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้วแต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตร ต่าง ๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลา เปล่าประโยชน์
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ไม่ชัดเจน คลุมเครือ


6 อันดับความน่ากลัวของเพลงชาติ

เพลงชาติ หมายถึงบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้น เพื่อปลุกเร้าให้หวนระลึกถึงหรือสรรเสริญประวัติศาสตร์ชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ หรือการต่อสู้ของชนในชาติ โดยได้รับการยอมรับจากรัฐบาลของชาตินั้น ๆ อย่างเป็นทางการ หรือความตกลงใจร่วมกันของประชาชนในชาติว่า เพลงดังกล่าวเป็นเพลงประจำชาติของตน

                                                                         

            อันดับ 6 Algeria - "Qassaman"/"We Pledge"
ประเทศแอลจีเรีย(Algeria) ประเทศบ้านเกิดของนักฟุตบอลชื่อดังซีดาน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่การปกครองของฝรั่งเศส ซึ่งคนในประเทศไม่ชอบเท่าไหร่เลยทำสงครามกองโจรต่อต้านฝรั่งเศสอย่างต่อ เนื่อง จนฝรั่งเศสยอมถอนตัวจากแอลจีเรีย จากนั้นก็มีการปฏิวัติรัฐประหารอยู่บ่อยๆ และประเทศยังมีคงปัญหาเรื่องเชื้อชาติเกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน
ส่วนเนื้อเพลง " Qassaman " แปลเป็นไทยว่าคำปฏิญาณเขียนใน 1956  โดย Moufdi Zakaria  เป็น เพลงชาติที่ใช้มายาวนาน10 ปี โดยผู้เชี่ยวชาญเพลงในประเทศมาช่วยกันออกความคิดเห็นช่วยกันแต่ง ซึ่งเนื้อหาของเพลงนั้นค่อนข้างออกมารุนแรง 

                                       

อันดับ  5. Italy - "Il Canto degli Italiani"/"The Song of the Italians"
ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ของเพลงชาติเกี่ยวกับอิตาลี มักเศร้าระทมจนกระทั้ง จูเซปเป ฟอร์ตูนีโน ฟรันเชสโก แวร์ดี (Giuseppe Verdi) เป็นคีตกวีบทเพลงประกอบโอเปรา เป็นชาวอิตาลี (ค.ศ. 1813 – 1901)ได้แต่งเพลงที่ชื่อ "Il Canto degli Italiani" แปลเป็นไทยคือ" เราพร้อมเพื่อตาย!" ซึ่งในขณะที่นครมิลาน พ่ายแพ้และถูกจักรวรรดิออสเตรียเข้ายึดครอง แวร์ดีได้ประพันธ์โอเปร่าเรื่อง “Il Corsaro” ขึ้นเพื่อให้ปลุกใจให้อิตาลีเป็นอิสรภาพจากประเทศออสเตรียในปี พ.ศ. 2390 และนำมาใช้เป็นเพลงชาติในปี พ.ศ. 2489  และพัฒนาเป็นเพลงชาติในที่สุด

                                      

 อันดับ 4. Hungary - "Himnusz/Hymn"
แต่งโดย Kölcsey Ferenc” ประเทศฮังการีนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีประวัติอย่างยาวนานมาตั้งแต่ในตอนศตวรรษที่ 9 และกล่าวจะมาเป็นประเทศฮังการีผ่านการทำสงครามโลก สงครามเย็น สงครามกลางเมืองที่แสนโหดร้าย ผู้บริสุทธิ์ถูกยิงไม่เว้นวันเพลงสดุดีนี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อให้พลเมืองของประเทศทั้งหลายจับอาวุธขึ้น ต่อสู้ต่อต้านการกดขี่, ละเมิด, หรืออะไรก็ตามที่เป็นภัยคุกคาม

                                     

อันดับ 3. Turkey - "stiklal Mar/Independence March"
 stiklal Mar”แปลว่า อิสรภาพ เขียนโดย Osman Zeki Üngör”  ใช้อย่างเป็นทางการทางการ 12 มีนาคม  ค.ศ.1921 เป็นเพลงกระตุ้นสำหรับการต่อสู้ในสงครามของตุรกีเพื่อรับอิสรภาพและเป็นเพลงสดุดีกล้าหาญสำหรับสาธารณรัฐที่ตั้งขึ้นด้วยความรักอิสรภาพ, ศรัทธา, บรรลุผลความหวัง และการอุทิศตัวให้สูงศักดิ์ซึ่งจากประวัติศาสตร์ตุรกีต้องเผชิญการรุกรานของยุโรปและการดูถูกดูแคลน ดังนั้นพวกเขาจึงได้ใส่เรื่องราวเหล่านั้นเขาไปในเพลงชาติที่แสดงให้เห็นว่าอย่ามาหยามประเทศของตน

                                    

อันดับ 2. France - "Le Marseillaise"/"The Song of Marseille"
ลามาร์แซแยส(La Marseillaise) แปลตามตัวว่า เพลงแห่งเมืองมาร์เซย์ เป็นชื่อของเพลงชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันประพันธ์คำร้องและทำนองโดย โคลด โจเซฟ รูเชต์ เดอ ลิสล์(Claude - Joseph  Rouget) เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ.1792 ที่เมืองสตราสบูร์ก ในแคว้นอัลซาส เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า "Chant de guerre de l'Armée du Rhin" แปลว่า "เพลงมาร์ชกองทัพลุ่มน้ำไรน์" เดอลิสล์ได้อุทิศเพลงนี้ให้แก่นายทหารชาวแคว้นบาวาเรีย (อยู่ในประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน) ซึ่งเกิดในประเทศฝรั่งเศสผู้หนึ่ง คือจอมพลนิโคลาส ลัคเนอร์ (Nicolas Luckner) เมื่อกองทหารจาก เมืองมาร์เซย์ได้ขับร้องเพลงนี้ขณะเดินแถวทหารเข้ามายังกรุงปารีส ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป และกลายเป็นเพลงปลุกใจในการร่วมปฏิวัติฝรั่งเศส ทั้งยังเป็นที่มาของชื่อเพลงลามาร์แซแยสดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วย
สมัชชา แห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศรับรองให้เพลงลามาร์แซแยสเป็นเพลงชาติฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2338 ต่อมาเพลงนี้ได้ถูกงดใช้ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิโปเลียนที่ 1 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และมีการนำเพลงอื่นมาใช้เป็นเพลงชาติฝรั่งเศสแทนในระยะเวลาดังกล่าวแทน หลังการปฏิวัติในปี พ.ศ. 2373 เพลงนี้ก็ได้กลับมาใช้เป็นเพลงชาติในระยะสั้นๆแต่ก็งดใช้อีกครั้งในสมัยของจักรพรรดิโปเลียนที่ 3 ตราบจนกระทั่งฝรั่งเศสเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐที่ 3 เพลงนี้จึงได้รับการรับรองให้เป็นเพลงชาติอย่างถาวรเมื่อ พ.ศ. 2422

                                  

อันดับ 1. Vietnam - "Tien Quan Ca"/"Army March"
ส่วนมากของเพลงสดุดีอื่นๆ จะเน้นเรื่องสันติภาพ, ความภูมิใจแห่งชาติ แต่เพลงสดุดีของประเทศเวียดนามนั้นมันต่างกัน เพราะเน้นเรื่องสงครามทั้งหมด
"Tien Quan Ca" แปลเป็นไทยคือ "มาร์ช ทหารเวียดนาม" เป็นเพลงชาติของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประพันธ์โดย เหงียน วัน คาวและใช้เป็นเพลงชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามใน พ.ศ. 2488 และนำมาใช้เป็นเพลงชาติของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามหลังจากการรวมประเทศในปี พ.ศ. 2519













วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลามาร์แซแยซ” (La Marseillaise) "เพลงแห่งเมืองมาร์แซย์" เป็นชื่อขเพลงชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย โกลด โฌแซ็ฟ รูเฌ เดอ ลีลเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2335 ที่เมืองสทราซบูร์ในคว้นอาลซัส เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า "Chant de guerre de l'Armée du Rhin" แปลว่า "เพลงมาร์ชกองทัพลุ่มน้ำไรน์" เดอลีลได้อุทิศเพลงนี้ให้แก่นายทหารชาวแคว้นบาวาเรีย (อยู่ในประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน) ซึ่งเกิดในประเทศฝรั่งเศสผู้หนึ่ง คือจอมพลนีกอลา ลุคเนอร์ (Nicolas Luckner) เมื่อกองทหารจากเมืองมาร์แซย์ได้ขับร้องเพลงนี้ขณะเดินแถวทหารเข้ามายังกรุงปารีส ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป และกลายเป็นเพลงปลุกใจในการร่วมปฏิวัติฝรั่งเศส ทั้งยังเป็นที่มาของชื่อเพลงลามาร์แซแยซดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วย       
สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศรับรองให้เพลงลามาร์แซแยซเป็นเพลงชาติฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2338 ต่อมาเพลงนี้ได้ถูกงดใช้ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิโปเลียนที่ 1แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 และ พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และมีการนำเพลงอื่นมาใช้เป็นเพลงชาติฝรั่งเศสแทนในระยะเวลาดังกล่าวแทน โดยรัชสมัยของจักรพรรดิโปเลียนที่ 1 ใช้เพลงชาติที่ชื่อว่า Veillons au Salut de l'Empireและ โดยรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ใช้เพลงชาติที่ชื่อว่าLe Retour des Princes Français à Parisหลังการปฏิวัติในปี พ.ศ. 2373 เพลงนี้ก็ได้กลับมาใช้เป็นเพลงชาติในระยะสั้น ๆ แต่ก็งดใช้อีกครั้งในสมัยของจักรพรรดิโปเลียนที่ 3 ตราบจนกระทั่งฝรั่งเศสเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐที่ 3 เพลงนี้จึงได้รับการรับรองให้เป็นเพลงชาติอย่างถาวรเมื่อ พ.ศ. 2422

La Marseillaise
Premier couplet
Allons enfants de la Patrie,
Le jour de gloire est arrivé !
Contre nous de la tyrannie,
L'étendard sanglant est levé, (bis)
Entendez-vous dans les campagnes
Mugir ces féroces soldats ?
Ils viennent jusque dans vos bras
Égorger vos fils, vos compagnes !
Refrain
Aux armes, citoyens
Formez vos bataillons
Marchons, marchons !
Qu'un sang impur
Abreuve nos sillons !