วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ย่านโคมแดงในกรุงอัมสเตอร์ดัม..

เมือง Amsterdam, Netherland
Red Light คืออะไร? หลายคนที่ยังไม่เคยมา Holland คงอยากรู้ ที่ประเทศนี้ Prostitute หรือ โสเภณี จัดว่าเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายอาชีพหนึ่ง มีการขึ้นทะเบียน ตรวจสุขภาพ และต้องเสียภาษี รวมถึงกำหนดแนวเขตบริเวณที่จะมีบรรดาสถานบริการเหล่านี้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเป็นระบบ

                               

ส่วนชื่อ Red Light นั้นมาจากที่ว่า บริเวณที่มีการขายบริการนั้นจะต้องมีการติดไฟนีออนสีแดงไว้ แต่ว่าไม่ใช่ว่าติดไว้หน้าร้านแล้วนั่งรอกันอยู่ข้างในร้านเหมือนในเมืองไทยอย่างที่พี่จรัสเคยบอก ที่นี่เค้าติดไฟไว้ในตู้แล้วออกมาเต้นเรียกแขกกันในตู้หน้าร้านเลย ชุดที่ใส่ก็มักจะเป็น 2 pieces คือชุดบิกินีนั้นแหละ การที่จะสังเกตได้ว่าบริเวณไหนของเมืองมีการบริการเช่นนี้ ต้องสังเกตไฟสีแดง และเนื่องจากถูกกำหนดเขตมาแล้ว บริเวณนั้นจึงมีชื่อเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า Red light district

                                            

                             

                                         

                                        

                                       


การสูบหรือใช้ยาเสพติดขนานเบา อย่าง กัญชา (Marihuana) ตามร้านกาแฟ (หรือ Coffee Shop) ในในกลางกรุงอย่างกรุงอัมสเตอร์ดัมนั้น ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถหาใช้ได้อย่างเสรี

                                    

                                                     


วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อีสป


                                                          

อีสป (aesop) เป็นทาสชาวกรีกซึ่งมีชื่อในการเป็นผู้แต่งนิทานเปรียบเทียบ ตัวละครจะเป็นสัตว์ และได้ให้บทเรียนด้านศีลธรรมเป็นคติสอนใจ นิทานที่กล่าวว่าเล่าโดย "อีสป" เชื่อกันว่าเป็นนิทานที่รวบรวมมาจากหลายแหล่ง นิทานอีสปได้รับความนิยมแพร่หลายเนื่องจากกวีชาวโรมันชื่อเพดรัสนำมาเล่าจนแพร่หลายในคริสต์ศตวรรษที่ 1 (ระหว่าง พ.ศ. 443-543) และต่อมา "ฌอง เดอ ลา ฟงแทน" กวีชาวฝรั่งเศสได้นำมาเรียบเรียงใหม่เป็นร้อยกรองที่ค่อนข้างเกินจริงแต่มีชีวิตชีวาเมื่อปีพ.ศ. 2211


สำหรับ ตัวอีสปเองนั้น เชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่เดิมเคยเป็นทาสมาก่อน แต่สามารถเป็นไทได้เพราะความสามารถในการพูดของตัวเอง เป็นบุคคลที่ไหวพริบปฏิภาณดีเยี่ยม เป็นคนพูดที่เก่งกาจคนหนึ่งในยุคนั้น มีครั้งหนึ่งเขาใช้ปัญญาให้เห็น ให้ทุกคนประจักษ์ คือ การเลือกถือข้าวกล่องที่หนักที่สุด(สมัยนั้นเป็น ทาส)ทุกคนหัวเราะเยาะเขา แต่พอถึงกลางวัน ทุกคนจึงรู้ว่าเขาฉลาด เพราะคนอื่นๆต้องกินข้าว พอตอนเย็นเขาจึงกลับมือเปล่า วันหนึ่งซึ่งอีสปเดินทางไปเข้าเฝ้าเทพอพอลโล แต่อีสปดูถูกเทพอพอลโล ชาวบ้านแถวนั้นโกรธที่อีสปดูหมิ่นเทพอพอลโลจึงจับอีสปโยนลงหน้าผา ตายอย่างอนารถ

                                                  

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โซเดียม ในโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป

                                    
                                          

โจ๊ก อาหารเช้ายอดนิยมสำหรับหลายคน การทำโจ๊กไม่ยุ่งยาก หาก ทำทานเองที่บ้าน ก็นำปลายข้าวหอมมาต้มกับน้ำซุปกระดูกที่เคี่ยวจนได้ที่จะได้รสชาติของโจ๊กที่หวานน้ำต้มกระดูก เติมรสชาติให้กลมกล่อมขึ้นด้วยเกลือ และใส่เนื้อสัตว์ลงไป แค่นี้ก็ได้โจ๊กที่อร่อยได้ทั้งครอบครัวแล้ว

เนื่องจากการต้มโจ๊กต้องใช้เวลานาน แต่วิถีชีวิตของคนปัจจุบันต้องเร่งรีบในช่วงเช้า ทำให้ต้องหันมาพึ่งโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น เพราะหาซื้อง่าย และทานได้สะดวก

โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป มีส่วนประกอบหลักคือ ข้าวสารบด เนื้อสัตว์อบแห้ง ผักอบแห้ง เช่น ฟักทอง แครอท สาหร่าย เพื่อเสริมคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ และมีการเติมเครื่องปรุงรสต่างๆ เพื่อทำให้โจ๊กมีรสชาติที่เข้มข้น และอร่อยถูกปาก

เจ้าเครื่องปรุงแต่งรสชาติเหล่านี้ มักมีส่วนประกอบของเกลือ หรือโซเดียม ในปริมาณสูง

ปริมาณโซเดียมที่กระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้บริโภคต่อวัน (RDI) สำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ต้องไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา เท่านั้น
เพราะหากเกินกว่านี้จะทำให้ไตทำงานหนัก เนื่องจากไตทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย

เมื่อไตเสื่อมย่อมส่งผลให้ระบบขับถ่ายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เกิดอาการบวมน้ำ ปัสสาวะบ่อย เพราะร่างกายต้องขับโซเดียมอยู่ตลอด และยังทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และเกิดภาวะความดันโลหิตสูงด้วย

สถาบันอาหารสุ่มตัวอย่างโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปบรรจุถ้วยและซองจำนวน 4 ตัวอย่าง 4 ยี่ห้อเพื่อนำมาวิเคราะห์หาปริมาณของโซเดียม
ปรากฏว่าในโจ๊ก 1 หน่วยบริโภค (1 ถ้วยหรือ 1 ซอง) พบว่ามีปริมาณโซเดียมอยู่ในช่วง 444.65–751.83 มิลลิกรัม

ฉะนั้นใน 1 วัน เราไม่ควรทานมากกว่า 1 ถ้วยหรือ 1 ซอง เพราะแต่ละวันเราจะได้รับโซเดียมจากอาหารชนิดอื่นๆ ที่เราทานเข้าไปด้วยแล้ว
หากทานมากกว่านั้น อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้องเผชิญกับโรคภัย และไตเสื่อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้ ผู้บริโภคอย่างเราๆ คงต้องตัดสินใจเองว่า จะเลือกทานอาหารอย่างไรให้ห่างไกลจากโรค



10 อันดับภาษาที่มีโอกาสได้งานทำมากที่สุดในอังกฤษ

ในยุคนี้ ว่ากันว่าการเรียนรู้แค่ 2 ภาษา คือภาษาไทยของเรา และภาษาอังกฤษ อาจจะไม่เพียงพอต่อการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะหลังการเปิดประชาคมอาเซียน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาที่ 3 เอาไว้อีกด้วยเพื่ออนาคตของเราเอง คราวนี้เรามีผลสำรวจน่าสนใจจากทางอังกฤษ ว่าผู้จัดการบริษัทต่างๆแนะนำให้เรียนภาษาอะไร มาจัดเป็น 10 อันดับภาษาที่มีโอกาสได้งานทำมากที่สุดในอังกฤษ ลองมาชมกันเลย

10. Portuguese

                                        
เนื่องจากการเจริญเติบโตของอเมริกา โดยเฉพาะบราซิล ที่จะได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ตามด้วยโอลิมปิค 2016 จึงเป็นโอกาสอันดีที่เศรษฐกิจจะขยายตัว การจ้างงานและโอกาสทำงานของคนพูดโปรตุกีสได้ก็ย่อมมีมากขึ้น


9. Japanese

                                          
ในเมืองไทยก็มีคนญี่ปุ่นมาอยู่อาศัยมาก รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นที่มาลงทุนอีกนับไม่ถ้วน การเรียนภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นโอกาสอันดีให้เราได้มีงานทำ ทั้งในไทยและต่างประเทศ


8. Russian

                                           
จากผลสำรวจล่าสุด พบว่ารัสเซียเป็นประเทศเศรษฐกิจที่เป็นเป้าหมายหลักของทางอังกฤษ มีการเจริญเติบโตของแนวโน้มการบริโภคภายในประเทศ ที่นำเข้าสินค้าจากต่างชาติมากขึ้นอย่างรวดเร็ว


7. Cantonese (ภาษาจีนกวางตุ้ง)

                                           
มีคนพูดภาษาจีนกลางเป็นภาษาแม่มากกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก แถมยังเป็นภาษาราชการของทางฮ่องกง ซึ่งน่าลงทุนและมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากในเอเชีย การเรียนรู้ภาษาจีนจึงช่วยได้เป็นอย่างยิ่ง


6. Arabic

                                           
แหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก หนึ่งในนั้นคือตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศกาตาร์ที่เศรษฐีต่างขนเงินไปลงทุนในต่างประเทศอย่างมหาศาล การได้เรียนรู้ภาษานี้เหมือนกับการเปิดโลกธุรกิจให้กว้างขึ้นนั่นเอง


5. Polish

                                            
เหล่าผู้จัดการในอังกฤษประมาณ 19% เห็นตรงกันว่าประเทศโปแลนด์คืออีกหนึ่งประเทศที่มีอัตราการบริโภคเติบโต และสั่งนำเข้าสินค้าจากอังกฤษสูงมาก ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นอะไรที่น่าสนใจจากประเทศนี้ก็ได้ และยังมีชาวต่างชาติที่รู้ภาษานี้ไม่มากนักด้วย


4. Mandarin (ภาษาจีนกลาง)

                                               
ภาษาที่มีคนพูดกันมากที่สุดในโลก และยังเป็นภาษาราชการของประเทศจีน ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้นๆของโลก เป็นที่คาดการณ์ว่าจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกยุคใหม่ คงจะเป็นเรื่องดีที่เราจะหัดเรียนรู้ภาษานี้เอาไว้


3. Spanish
                                               
ภาษาสเปน นอกจากจะใช้ในประเทศสเปนแล้ว ยังถือเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งช่วงหลังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ โดยผลการสำรวจกว่า 37% เห็นตรงกันว่าภาษาสเปนนั้นจำเป็นต่อโลกธุรกิจในอนาคต


2. French
                                                
ถึงแม้ว่าช่วงหลังความนิยมของการเรียนภาษาฝรั่งเศสลดน้อยลงไป และมีการเน้นเปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษในประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น แต่เหล่าผู้จัดการบริษัทกว่า 49% ยืนยันว่าภาษาฝรั่งเศสจำเป็นต่อบริษัทเป็นอย่างมาก


1. German
                                               
ประเทศเยอรมัน มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป พร้อมกับเทคโนโลยีที่น่าสนใจมีชื่อเสียงเป็นระดับโลก จึงไม่แปลกใจที่บริษัทอังกฤษล้วนอยากจะจ้างคนที่รู้ภาษาเยอรมันเพื่อทำงานด้วย เพราะสามารถหาผลประโยชน์จากประเทศใหญ่นี้ได้นั่นเอง

10 มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

10 มหาวิทยาลัย ตามลำดับที่นับว่าตั้งขึ้นก่อนมหาวิทยาลัยอื่นๆ และมีชื่อเสียงมากจนถึงกับต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์โลก มีดังนี้
  • มหาวิทยาลัยซาเลอโน ประเทศอิตาลี (การแพทย์) ศตวรรษที่9
                                      

มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกนั้น คือมหาวิทยาลัยซาเลอโน (Salerno) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ในประเทศอิตาลี มหาวิทยาลัยซาเลอโนซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกเกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไมถึงเกิดขึ้นได้ ในสมัยนั้นทางโลกตะวันตกถือว่า สถาบันจะเป็นมหาวิทยาลัยได้จะต้องสอนหนึ่งในสามวิชาซึ่งเรียกเป็นภาษาลาตินว่า สเตอดิอุม เยนเนอราล (Studium Generale)



  • มหาวิทยาลัยโบลอกนา ประเทศอิตาลี (ทางวิชาชีพ) ศตวรรษที่11
                                       
มหาวิทยาลัย โบลอกนา ประเทศอิตาลี เป็นมหาวิทยาลัยที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่โบโลญญา ประเทศอิตาลี สำหรับวันก่อตั้งที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าก่อตั้งในปี ค.ศ. 1088 มหาวิทยาลัยโบโลญญาได้ตั้งสาขาเพิ่มในเมืองอื่นๆของอิตาลี คือ เรกจิโอเอมิเลีย, อิโมลา, ราเวนนา, ฟอร์ลิ, เชเซน่า, ริมินี และได้ตั้งสาขาในต่างประเทศคือ บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา



  • มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส (กฎหมาย) ศตวรรษที่12
                                     
มหาวิทยาลัยปารีส (ฝรั่งเศส: Université de Paris) เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของโลก รองจากมหาวิทยาลัยโบโลญญาในประเทศอิตาลี หลังจากก่อตั้งขึ้นมาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12 มหาวิทยาลัยปารีสก็มีชื่อเสียงและนักศึกษามากกว่ามหาวิทยาลัยโบโลญย่าเสียอีก ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยปารีสนั้น ได้รับความสนใจจากบรรดานักศึกษาจากทั่วทุกมุมโลก อาจเนื่องมาจากมีค่าเล่าเรียนที่ไม่แพงนัก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ภาวะการแข่งขันเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยปารีสจึงมีอัตราค่อนข้างสูง และโดยปกติแล้ว นักศึกษาที่จะเข้าเรียนต้องยื่นผลสอบวัดระดับความรู้ภาษาฝรั่งเศสในขั้นสูง



  • มหาวิทยาลัยซอร์บอร์น ประเทศฝรั่งเศส (ศิลป์-การแพทย์) ศตวรรษที่12
                                   
มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศฝรั่งเศส ก่อตั้งมาประมาณ 700 ปี โดยนักบวชประจำพระองค์ของ Le Roi Saint-Louis ในยุคกลางชื่อ Robert de Sorbon มหาวิทยาลัยนี้ตั้งอยู่ที่ย่าน Quartier Latin ใจกลางกรุงปารีส มหาวิทยาลัยนี้มีการสอนทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก



  • มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ (กฎหมาย-ศิลป์) ศตวรรษที่12
                   
มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (อังกฤษ: University of Oxford) ตั้งอยู่ในเมืองอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร และเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ มีอายุกว่า 800 ปี ไม่มีหลักฐานประวัติการก่อตั้งแน่นอน แต่มีหลักฐานว่าอ๊อกซฟอร์ดได้เริ่มสอนมาตั้งแต่ พ.ศ. 1639 (ค.ศ. 1096) และ ในปี พ.ศ. 1710 (ค.ศ. 1167) หลังจากที่พระเจ้าเฮนรีที่ 2 ของอังกฤษ ทรงห้ามมิให้ชาวอังกฤษเดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปารีส ซึ่งเป็นที่นิยมกันในสมัยนั้น นักศึกษาและนักวิชาการอังกฤษที่เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ สมัยนั้นจึงพากันไปรวมตัวที่เมืองอ๊อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดจึงเกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์และการสนับสนุนการเงินจากคหบดีต่าง ๆ ปี พ.ศ. 1710 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด



  • มหาวิทยาลัยเครมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ (กฎหมาย-เศรษฐศาสตร์) ศตวรรษที่12
       
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์:University of Cambridge ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1209 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ อังกฤษ มักได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกโดยสำนักจัดอันดับมหาวิทยาลัยต่างๆ และมักถูกเรียกรวมกับ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ว่า "อ๊อกซ์บริดจ์" มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นมหาวิทยาลัยลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด



  • มหาวิทยาลัยตูลูช ประเทศเยอรมัน (กฎหมาย-เกษตร) ศตวรรษที่14
                                     
มหาวิทยาลัยและสถานศึกษาชั้นสูงแห่งเมืองตูลูสมหาวิทยาลัยตูลูสเป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจำนวนมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่สองของประเทศฝรั่งเศส กำเนิดขึ้นถัดจากมหาวิืทยาลัยปารีส โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1229 ปัจจุบันประกอบด้วย มหาวิทยาลัย 3 แห่ง ได้แก่
1. มหาวิทยาลัยตูลูส 1 (Université des Sciences sociales – U.T.1) จัดการศึกษาทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์
2. มหาวิทยาลัยตูลูส 2 (Université des lettres et des langues étrangères – U. de Mirail) จัดการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์ และภาษาศาสตร์
3. มหาวิทยาลัยตูลูส 3 (Université scientifique Paul-Sabatier – U. de Rangueil) จัดการศึกษาทางด้านแพทยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี




  • มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ประเทศสก๊อตแลนด์ (การค้า-อุตสาหกรรม) ศตวรรษที่14
            


                                       
    มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ : The University of Glasgow ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1451 เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในสามมหาวิทยาลัยในเมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร มีชื่อเสียงในด้านการสอนและการวิจัย และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยโบราณของสก็อตแลนด์และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักร มหาวิทยาลัยกลาสโกว์นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของ UK มาหลายศตวรรษ เช่นเดียวกับเอดินเบอระและเซนต์แอนดรูส์ กลาสโกว์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกใน UK ที่ก่อตั้งภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ และ ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยนอกเขตลอนดอนที่มีคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร



  • มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศอเมริกา (การค้า-กฎหมาย) ศตวรรษที่16
   
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด : Harvard University มหาวิทยาลัยเอกชนในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลก แห่งหนึ่งและเป็นหนึ่งมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยก่อตั้งเมื่อปี 8 กันยายน พ.ศ. 2179 (ค.ศ. 1636) มีอายุครบ 370 ปีใน พ.ศ. 2549 ฮาร์วาร์ดเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวีลีก โดยในปี พ.ศ. 2552-2553 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังคงได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยนิตยสารยูเอสนิวส์ และได้รับการจัดอันดับโดยไทมส์ไฮเออร์เอดูเคชันซัปพลีเมนต์ให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก ติดต่อกันมายาวนานหลายปี ในปัจจุบัน ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก



  • มหาวิทยาลัยเพนซินวาเนีย ประเทศอเมริกา (แพทย์-เศรษฐศาสตร์) ศตวรรษที่17
                                    
มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียมีจุดกำเนิดมาจาก Charity School of Philadelphia ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1740 (พ.ศ. 2283) ต่อมาในปี ค.ศ. 1749 นายเบนจามิน แฟรงคลิน นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่และผู้นำการปฏิวัติอเมริกามีแนวความคิดที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นการผลิตนักศึกษาเพื่อมาทำงานในภาครัฐและภาคธุรกิจ ซึ่งแตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยในยุคนั้นที่เน้นเฉพาะการสอนศาสนาเช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยล เขาจึงได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ขึ้น และมีการเรียนการสอนศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยพัฒนาจาก Charity School of Philadelphia เป็น Academy of Philadelphia ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น College of Philadelphia และเปลี่ยนเป็น University of the State of Pennsylvania ตามลำดับ ต่อมาในปี ค.ศ.1791 ได้ใช้ชื่อ University of Pennsylvania (มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเซีย) มาจนถึงปัจจุบันในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียได้พัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีวิทยาลัยและคณะต่างๆรวมกันทั้งสิ้นกว่า 12 คณะ

กำเนิดแซนวิส

แซนด์วิชมีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษในศตวรรษที่ 18 เล่าขานกันว่า สมัยนั้น พลเรือเอก จอห์น ม็องตากู ซึ่งมีตำแหน่งสูงเป็นท่านเอิร์ลแห่งแซนด์วิช ติดเล่นไพ่งอมแงม ชนิดไม่ยอมเสียเวลาหยุดกินอาหารเอาเลย จึงสั่งให้พ่อครัวทำอาหารชนิดที่สามารถหยิบกินไปเล่นไพ่ไปได้

พ่อครัวจึงเอาแผ่นขนมปังประกบคู่และสอดไส้ด้วยเนื้อเสิร์ฟให้ที่โต๊ะเล่นไพ่ จึงเป็นที่ถูกใจของท่านเอิร์ลมาก ต่อมาร้านอาหารเอาสูตรขนมปังอย่างนี้ไปทำขายและตั้งชื่อว่า “แซนด์วิช” จนแพร่หลายเป็นที่นิยมกันทั่วไป ทั้งในอังกฤษและประเทศอื่น ๆ ในยุโรป


                          


คนอังกฤษถือว่าแซนด์วิชเป็นอาหารที่ทำให้อร่อยโอชารสได้ แต่ต้องใช้ศิลปะทีเดียว ขนมปังที่ใช้ต้องสดใหม่ และบางพอดี รสต้องไม่เด่นจนไปกลบรสชาติของไส้

ส่วนไส้ก็มีหลากหลายเลือกปรุงจาก เนื้อต่าง ๆ เช่น แฮม ปลาแซลมอน เนื้ออบ ไข่ปลาคาเวียร์ และแนมกับผักชนิดต่าง ๆ รวมทั้งชีส ไส้แต่ละชนิดก็ให้รสอร่อยแตกต่างกันไป แซนด์วิชสมัยโบราณจึงอร่อยและมีคุณค่าอาหารได้ทีเดียว


             


เมลามีนตัวก่อนิ่ว


                              



“เมลามีน” มีสารฟอร์มาลดีไฮด์ หรือ ฟอร์มาลิน เป็นส่วนประกอบ ซึ่งใช้ผลิตพลาสติก เช่น จานเมลามีน ถุงพลาสติก พลาสติกห่ออาหาร และ ยังใช้ในอุตสาหกรรมเม็ดสี ทำเป็นหมึกพิมพ์ สีเหลือง รวมทั้งนำไปใช้ทำน้ำยาดับเพลิง น้ำยาทำความสะอาด ปุ๋ยเคมี ส่วนผสมอาหารสัตว์ เพราะโครงสร้างเมลามีนมี ไนโตรเจน เป็นส่วนประกอบสูงมาก


               



คุณสมบัติของเมลามีน มีลักษณะเป็น เมตาโบไลท์ ของ ไซโรมาซีน (Cyromazine) ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง เมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและพืชได้รับเข้าไปจะสามารถเปลี่ยนเป็นเมลามีนได้ มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบถึง 66.67% คิดเป็นปริมาณโปรตีนได้ 416.66% จัดอยู่ในพวก Non-Protein Nitrogen (NPN) ของสัตว์กระเพาะรวม เช่น โค กระบือ สุกร แกะ แพะ แต่ไม่นิยมใช้ เพราะทำให้ กระบวนการย่อยสลาย (Hydrolysis) ช้าและไม่สมบูรณ์เหมือนพวก “ยูเรีย”


                  


“เมลามีน” มีลักษณะเป็นผงสีขาว มีสูตรโครงสร้างทางเคมีว่า C3H6 N6 (1,3,5 Triazine 2,4,6 Triamine) ละลายน้ำได้น้อย ปกติมัก จะนำเมลามีนคุณภาพดีไปทำเม็ดพลาสติกเรียกว่า “เม็ดเลซินเมลามีน” ส่วนเศษที่เหลือที่คุณภาพเลวจะนำไปทำของใช้ ซึ่งเมลามีนประเภทนี้มีราคาถูก และส่งผลให้เกิดอนุพันธ์เมลามีนขึ้นหลายชนิด เรียกว่า เมลามีนอันนาล็อก ประกอบด้วย ammeline, ammelide และ cyanuric acid แม้จะเป็นอนุพันธ์ของเมลามีนแต่ก็ยังมีโปรตีนสูงถึง 224.36%

อันตรายของสารเมลามีน ในคนจะทำให้เกิดการระคายเคืองเมื่อสูดดม ทำให้ตาและผิวหนังอักเสบ ซึ่งหากเกิดอาการที่ผิวหนังควรล้างด้วยน้ำสะอาด ถ้ามีอาการแพ้ให้ทาด้วยยาสเตียรอยด์ ชนิดไม่แรงมากนัก หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปปรึกษาแพทย์ และเมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้ระบบสืบพันธุ์ถูกทำลาย เกิดนิ่วในท่อปัสสาวะและไต ลุกลามเป็นมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ข้อสังเกตคือ ปัสสาวะมีสีขาวขุ่น เพราะมีโปรตีนและเลือดถูกขับออกมาด้วย ส่งผลให้ตับและไตมีขนาดใหญ่กว่าปกติ หากสะสมในปริมาณมากอาจเสียชีวิตได้ ถ้าในสัตว์เลี้ยงจะทำให้ซูบผอม อุจจาระแข็งเป็นเม็ด ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นไหม้รุนแรง พื้นคอกสีขาว ผิวหนังเป็นมะเร็ง หากมีปริมาณมาก ๆ จะทำให้ตายเฉียบพลัน เพราะไตวาย

ดื่มมากเสี่ยง มะเร็งกระเพาะ

นักวิทยาศาสตร์ของกองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลก บอกเตือนว่า คอเบียร์ที่ดื่มวันละ ประมาณครึ่งลิตร จะทำให้ตนเองเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งกระเพาะสูงขึ้นถึง 1 ใน 5 พอๆกับการดื่มเหล้าไวน์วันละแก้วโต หรือดื่มเหล้าวอดก้า หรือยิน

ดร.ราเควล ธอมป์สัน แม่กองโครงการของกองทุน กล่าวว่า ส่วนพวกคอเหล้าที่ดื่มเหล้าวันละ เป็นเหล้าไวน์ 2 แก้ว หรือเหล้าธรรมดา 2 เป๊ก ก็ทำให้ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งสูงขึ้นถึงร้อยละ 18 และเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับสูงขึ้นได้ถึง 1 ใน 5


                         


“หากว่าเรารู้ได้ว่าปีหนึ่งๆ มันทำให้ มีคนป่วยเป็นมะเร็งเหล่านี้มากเท่าไร ก็จะนึกรู้ได้เองว่า การดื่มให้น้อยลง จะทำให้เกิดความแตกต่างลงไปได้มาก แต่ก็นั่นแหละแม้จะมีหลักฐานให้เห็นอย่างแข็งแรง คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ว่าเหล้าทำให้ตนเข้าไปเสี่ยงใกล้กับมะเร็งได้มากเท่าใด มันจำเป็นที่เราจะต้องบอกเขาได้รู้ให้ซาบซึ้งมากขึ้น”

นอกจากมะเร็งทั้งสองชนิดแล้ว กองทุน ยังแจ้งว่า มีหลักฐานที่เชื่อแน่ได้ว่า เหล้ายังทำให้เสี่ยงกับมะเร็งเต้านม มะเร็งปาก กล่องเสียง คอหอย และกระเพาะอาหารสูงขึ้นอีกด้วย

กินไข่ดิบมีโทษ

ทราบหรือไม่ว่าการกินไข่ดิบสามารถให้โทษแก่ร่ายกาย ...

หลายคนเข้าใจว่าการกินไข่ดิบวันละฟองในตอนเช้า จะสามารถรักษาเสียงได้ดี แต่ความจริงแล้วการกินไข่ดิบ ทำให้ร่างกายได้รับธาตุบำรุงจากไข่เพียงครึ่งเดียว


                            

ในไข่ดิบจะมีโปรตีนที่เป็นปฏิชีวนะอยู่ ถ้ากินไข่ดิบบ่อย ๆ โปรตีนชนิดปฏิชีวนะที่สะสมอยู่ในร่างกายจะขัดขวางไม่ให้ ร่างกายได้รับ วิตามินB1 นอกจากนั้นถ้าไก่เป็นโรคไข่จะติดตามมา จึงอาจทำให้ผู้กินไข่ดิบติดโรคได้ จึงควรกินไข่ที่สุกเพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งหมด ดังนั้น ไม่ควรกินไข่ดิบหรือไข่ครึ่งสุกครึ่งดิบเพื่อความปลอดภัยของร่างกาย

ส่วนในการทอดไข่ดาวนั้น ไม่ควรทอดเพียงด้านเดียว ควรพลิกทอดทั้ง 2 ด้าน เพื่อประกันว่าได้ฆ่าเชื้อโรคหมดแล้ว รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาเปลี่ยนวิธีการกินไข่กันใหม่เพื่อสุขภาพที่ดี