วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

ฝรั่งเศสวันละนิด



The Story of Cheese



                    “โรซี่ โลเวลล์” จะร่วมทางกับเพื่อนนักเดินทางแสวงหาของอร่อยจากทั่วโลก ไปค้นหาปรากฏการณ์เบื้องหลังการผลิตเนยแข็งและความนิยม เริ่มเดินทางในเมืองบีคอนส์ฟิลด์ในแคว้นบัคกิงแฮมเชียร์ ของอังกฤษ ซึ่งจะมีงานออกร้านของคนทำเนยแข็งปีละครั้ง ซึ่งทั้งคนทั่วไปและนักทำเนยแข็งมืออาชีพจะได้มาดู ชิม และซื้อเนยแข็งสุดวิเศษที่ผลิตในยุโรปและสหราชอาณาจักร จากนั้นโรซี่จะมุ่งไปหาผู้ค้าเนยแข็งที่เก่าแก่ที่สุดในลอนดอน

                  “จัสติน ชาปิโร” จะไปเยือนเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เพื่อดูว่าทำไมเนยแข็งของพวกเขาถึงพิเศษนัก ในขณะที่เนยแข็งฝรั่งเศสควรเสิร์ฟก่อนมื้ออาหาร ชีสอิตาลี่กลับถูกผสมลงไปในมื้ออาหารเองเลย ทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น การทำความรู้จักราชาแห่งเนยแข็งอิตาลีอย่างปาร์มิกาโน-เรจเจียโน เมแกน แม็คคอร์มิคจะไปเยือนเมืองยุคกลางอย่างปาร์มา ที่อยู่ใจกลางตอนเหนือของอิตาลี "บ๊อบบี้ ชินน์" จะมุ่งสู่ซิซิลี่เพื่อดูว่าอะไรทำให้ริคอตต้าแตกต่างจากเนยแข็งสดชนิดอื่นๆ และเรียนรู้การทำของหวานจากริคอตต้าที่เรียกว่าคาสซาต้า

 

 

                  จุดหมายแห่งเนยแข็งที่สำคัญอีกแห่งคือสวิตเซอร์แลนด์ เทือกเขาสูงและภูมิอากาศปานกลางของประเทศนี้ทำให้เหมาะกับการผลิตเนยแข็งที่สุด อย่างที่บริอันนาได้รู้ในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อกรูแยร์

                  เรื่องราวใน Story of Cheese ยังดำเนินต่อไป เมื่อ “แองเจล่า เมย์” มุ่งหน้าไปร้านผลิตภัณฑ์นมท้องถิ่นนอกกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เพื่อค้นพบมนต์ขลังแห่งเฟต้า จากนั้นเมอริลีส พาร์คเกอร์จะไปเยือนอารามในเลบานอน เพื่อดูวิธีทำฮัลลูมี่ และบ๊อบบี้ ชินน์ก็ไปตลาดในอีสตันบูลเพื่อค้นพบเนยแข็งตุรกีท้องถิ่น บ๊อบบี้ชิมเนยแข็งอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผลิตในกระเพาะสัตว์ ซึ่งเป็นวิธีทำเนยแข็งแบบดั้งเดิมที่สืบย้อนไปได้ถึงยุคโบราณ

                กลับมาที่ลอนดอน โรซี่ไปเยือนผู้ค้าเนยแข็งฝรั่งเศสที่โด่งดัง เฮาส์ออฟอองดูเอต์ ซึ่งก่อตั้งในปารีสเมื่อปี 1909 เมนูในร้านอาหารที่นี่มีเนยแข็งที่ขายในร้านด้วย โรซี่ได้พบความลับของวิธีอร่อยกับถาดเนยแข็งที่ยอดเยี่ยมในแบบฝรั่งเศส
Cr.ช่องthaipbs

Sarah Wiener France

ดูไว้ไม่เสียหาย ฝึกการฟังการดูไปเรื่อยๆ ได้เรียนเรียนรู้ในหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็น ภาษา อาหาร วัฒนธรรม ได้ซึมซาบอะไรหลายๆอย่างคลิปวีดีโอเหล่านี้ เป็นประโยชน์มากๆ










อนุบาลอัจฉริยะ

              เด็กอนุบาลในญี่ปุ่นไม่ต้องเร­ียนเขียนอ่าน ที่โรงเรียนนี้ไม่เหมือน ที่นี่สอนเด็กให้เป็นอัจฉริยะ ในทางของตัวเอง จนมีโรงเรียนอีกเกือบ 400 แห่งที่ขอหลักสูตรไปใช้บ้าง คุณก็สอนลูกให้เป็นอัจฉริยะได้


และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ http://www.facebook.com/Dohiru
Cr.ThaiPBS

ต้นกำเนิด7-Eleven สู่ประเทศไทย


                 ในปัจจุบันนี้ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าจะมองไปทางใดแทบจะทุกสถานที่จะมี เซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven) อยู่รอบตัวเรา และเราได้ประโยชน์จากมัน เพื่อนๆเคยสงสัยมั้ยว่าเซเว่น อีเลฟเว่นที่เราเดินเข้าออกอยู่ทุกวันนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นคนก่อตั้ง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร 

                 เซเว่น อีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1927 (พ.ศ.2543) โดย บริษัท เซาท์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) ที่เมืองดัลลัสรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา 

southland ice company

southland ice company

                 ซึ่งถูกก่อตั้งโดยนายจอห์น เจฟเฟอร์สัน ที่เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง แทบจะทั้งวันเลยก็ว่าได้ (ประมาณ 16 ชั่วโมง/วัน) ในช่วงฤดูร้อนและไม่มีวันหยุด ซึ่งสามารถสร้างความพอใจให้กับลูกค้าและสร้างชื่อเสียงให้กับร้านเป็นอย่างมาก

                

                ในปีเดียวกันนั้นเริ่มมีการขยายสินค้าไปสู่สินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ทางบริษัทได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า กลายเป็นลักษณะของร้านชำหรือร้านสะดวกซื้อ ใช้ชื่อร้านว่า โทเทม สโตร์ Tote'm Store 




                                                 

                ในและแนวคิดนี้กลายเป็นปรัชญาสำคัญของร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในปัจจุบัน และได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งในปีค.ศ.1960 (พ.ศ. 2503) เป็นเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ซึ่งในระยะแรก เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. ของทุกวัน อันเป็นที่มาของชื่อ เซเว่น อีเลฟเว่น นั่นเอง
 

                






                 ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 (พ.ศ.2523) บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจากอิโต-โยคะโด(Ito yokado) ซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น 

                




                ในปี ค.ศ.1991(พ.ศ. 2534) บริษัทญี่ปุ่นมีอำนาจควบคุมบริษัท 
                ในปี ค.ศ.2005(พ.ศ. 2548) อิโต-โยคะโดก่อตั้งบริษัทเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์และเซเว่น อีเลฟเว่นก็กลายเป็นบริษัทลูกของเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ตั้งแต่นั้นมา


ประเทศไทย

              บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซีพี ออลล์ (ชื่อเดิม: บมจ.ซีพีเซเว่นอีเลฟเว่น) ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้บริหารแฟรนไชส์เซเว่นอีเลฟเว่นในประเทศไทยจากการลงนามในสัญญา ซื้อสิทธิประกอบกิจการ จากเจ้าของสิทธิ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนพ.ศ. 2512 ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ อาคารธารา สาทรทาวเวอร์ ชั้น 12 ซอยสาทร 5ถนนสาทรใต้ กรุงเทพมหานคร

              โดยมีนายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ เป็นประธานกรรมการบริหาร เซเว่นอีเลฟเว่น สาขาแรกในประเทศไทย คือสาขาถนนพัฒน์พงศ์ ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนพัฒน์พงศ์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 ซีพีออลล์ขยายสาขาเซเว่นอีเลฟเว่น ไปยังสถานีบริการน้ำมัน ปตท.เกือบทุกแห่ง เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ทั้งในรูปแบบทั่วไป ระดับสูง และในสวน ปตท. (PTT Park) ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการมากกว่า 4 ล้านคนต่อวัน

             ในปัจจุบัน เซเว่นอีเลฟเว่นในประเทศไทย มีจำนวนประมาณ 8,000 สาขา (ณ เดือนตุลาคม 2557) เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีมากกว่า 500 สาขา รองลงมาคือชลบุรี มีมากกว่า 200 สาขา ซึ่งไทยมีสาขามากเป็นอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและไต้หวันตามลำดับ นอกจากนี้ ยังถือเป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ย 65,019 บาท ต่อวันต่อสาขา

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

ฝรั่งเศสวันละนิด




พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ใหม่ล่าสุดรู้ไว้ด่วน


ชาวเน็ตควรรู้ไว้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) มีผลบังคับใช้ 4 ส.ค. 58 เตือน ผู้ที่แชร์ภาพที่มีการลบลายน้ำ มีความผิดฐานเผยแพร่ลิขสิทธิ์โดยไม่รับอนุญาต

หลังจากที่ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและกำหนดข้อยกเว้นการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดง ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้เป็นต้นไปนั้น

วันที่ 29 กรกฎาคม 2558 นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า กฎหมายฉบับดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล คือ Digital Economy โดยจะอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและการกำหนดข้อยกเว้นการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงนั้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เว็บไซต์ต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต ปลอดจากงานละเมิดลิขสิทธิ์

นางอภิรดี กล่าวต่อว่า ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ตนั้น ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงความร่วมมือจากเจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้บังคับใช้กฎหมายเท่านั้น ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จึงดึงเอาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสามารถนำงานละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบได้เมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์พบผลงานของตนเองที่ถูกละเมิด และหากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตดำเนินการตามกฎหมายก็จะไม่ถือว่าเป็นผู้ละเมิดลิขสิทธิ์อีกด้วย

นอกจากนี้ นางอภิรดี ระบุอีกว่า กฎหมายดังกล่าวยังกำหนดถึงข้อมูลบริหารสิทธิ ที่บ่งชี้ถึงผู้ที่สร้างสรรค์ เช่น


- การแชร์ภาพที่ปรากฎว่ามีการลบลายน้ำหรือชื่อผู้สร้างสรรค์ผลงาน ผู้แชร์จะมีความผิดฐานละเมิดข้อมูลบริหารสิทธิ
- แชร์ภาพที่มีการลบลายน้ำลง Social media ต่าง ๆ จะผิดฐานเผยแพร่ลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต และละเมิดข้อมูลบริหารสิทธิ
- ถึงแม้จะมีการอ้างอิงถึงเจ้าของภาพก็จะถือว่าเป็นความผิด เพราะนำภาพของผู้อื่นมาเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต

Cr.kroobannok.com

กล่องโฟมภัยเงียบที่ควรระวั






 
ช่วง นี้อากาศร้อน ถ้าจะให้ซื้อข้าวรับประทานตามร้านริมทางท่ามกลางไอแดดเห็นทีจะนั่งเช็ด เหงื่อกันไม่ไหวง่ายที่สุดคือ สั่งอาหารใส่กล่องโฟมเข้าไปรับประทานในที่ทำงานติดแอร์เย็นๆ หรือแม้กระทั่งหลังเลิกงานแล้วข้าวกล่องก็เป็นอาหารที่หาซื้อได้สะดวกที่สุด จะเลือกเมนูไหนก็ตักใส่กล่อง ราคาก็ถูก ประหยัดเวลาทำอาหารเอง รับประทานเสร็จก็ไม่ต้องล้าง ท่ามกลางความสะดวกสบาย กล่องโฟมก็แฝงไปด้วยภัยเงียบ

นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมให้ความรู้ว่ากล่องโฟมที่ใช้ตามท้องตลาดทั่วไป (Styrofoam) เป็นของเสียเหลือทิ้งสีดำๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen) ในเพศหญิง

อาหาร ตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟมจึงเป็นแหล่งสะสมสารสไตรีน ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่ายหงุดหงิดง่าย มีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และเป็นสารก่อมะเร็งอีก 3 ชนิด
ถ้า เป็นผู้ชายรับประทานเข้าไปมากๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และทั้งสองเพศมีโอกาสสูงต่อการเป็นมะเร็งตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกฮอล์เป็นประจำก็ตาม

สำหรับสไตรีนถือเป็น สารอันตรายที่สหรัฐเพิ่งประกาศขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ อวัยวะบางส่วนพิการ ส่วนคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า

ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟมได้ง่ายถึง 5 ปัจจัย ได้แก่
1.อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง
2.ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ
3.ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นานๆไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก
4.ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก และ
5.ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมากๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใสรองอาหาร ขอบอกว่าได้รับสารก่อมะเร็ง 2 เด้ง ทั้งสไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติกเลยทีเดียว
นพ.วีรฉัตร เตือนว่าอาหารตามสั่ง หรือข้าวราดแกงที่มักมาคู่กับไข่ดาว หรือไข่เจียวร้อนๆขอเตือนว่า ไข่ดังกล่าวจะไปละลายผนังกล่องโฟม เสมือนรับประทานอาหารคลุกสไตรีนไปด้วย ถึงกระนั้นไข่ดิบที่วางขายในแผงไข่พลาสติก สารสไตรีนมีโอกาสวิ่งเข้าในเปลือกไข่ได้เช่นกัน ถ้าเลือกไข่ดิบควรเลือกซื้อจากแผงไข่กระดาษจะปลอดภัยที่สุด?????????
มนุษย์ ข้าวกล่องอย่ามัวซื้อความสะดวกสบาย จนลืมใส่ใจสุขภาพของตัวเอง ถ้ายอมให้ร่างกายเริ่มสะสมสไตรีนตั้งแต่วันนี้ รับรองวันหน้าหนีไม่พ้นมะเร็งตัวร้ายเป็นแน่?

คนไทยติดมือถืออันดับ 1


 
               
                  โฮเทลส์ ดอทคอม เผยคนไทยติดมือถืออันดับ 1 จากกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวจาก 28 ประเทศ ที่พกมือถือตลอดเวลาแม้แต่ไปพักร้อน โดยคนไทย โดย 6 ใน 10 ใช้เวลาไปกับการเช็กอีเมล์บนมือถือ และ 100% ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับโลกโซเชียล
                  ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสื่อสาร ของ โฮเทลส์ ดอทคอม ที่สำรวจพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างเวลาเดินทางท่องเที่ยว ในวันหยุดพักผ่อน โดยสำรวจนักท่องเที่ยวจาก 28 ประเทศทั่วโลก เผยคนเอเชียติดโทรศัพท์มือถือมากกว่าชาติอื่นๆ ในรายงานระบุว่า คนไทยเป็นชาติอันดับ 1 ที่ไม่ต้องการอยู่ห่างจากมือถือแม้ในเวลาท่องเที่ยวในวันหยุดพักผ่อน 



               พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า การเล่นโทรศัพท์มือถือนานๆก่อให้เกิดอาการใหม่ทางสุขภาพจิตที่เรียกว่า “โนโมโฟเบีย” มาจากคำว่า โนโมบายโฟนโฟเบีย หรืออาการขาดมือถือไม่ได้ ผลสำรวจทั่วโลกพบว่า คนที่เกิดอาการ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นมากกว่าวัยทำงาน เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ที่ชอบเล่นเกม ชอบเที่ยว ชอบทำกิจกรรม จึงส่งข้อมูลผ่านมือถือถึงกันบ่อยๆ

โดยพฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลกระทบการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดอาการข้างเคียงหลายอย่าง เช่น นิ้วล็อค , สายตาเสื่อมเร็ว , กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่เกร็ง และปวดเมื่อย จากการก้มหน้าเพ่งจอเป็นเวลานาน และทำให้หมอนรองกระดูกคอเสื่อมก่อนวัยอันควร บางรายหากเป็นมาก อาจเครียดถึงขั้น ตัวสั่น เหงื่อออก และคลื่นไส้ได้

Cr.kroobannok.com

Mount Etna volcano แห่งเกาะซิซิลีและอิตาลี

               นับแต่โอดิสซีอัสจนถึงนาวิกโยธินสหรัฐฯ การรับมือกับความรุนแรงของเอ็ตนา (Mount Etna) เป็นภารกิจสำหรับวีรบุรุษเสมอมา

แผ่นที่ ภูเขาไฟเอ็ตนา etna volcano

                ไม่ไกลจากกาตาเนียบนฝั่งตะวันออกของชิชิลี คือที่ตั้งของหินมหึมาสามก้อนที่คลื่นซัดสาดอยู่เป็นนิจ หินเหล่านี้เรียกกันว่าเซออลยีซีกลอปี ซึ่งกำเนิดจากภูเขาไฟและมีลักษณะแปลกไปจากหินอื่นๆ ตามชายหาดแถบนี้ เล่ากันว่าอสุรกายตนหนึ่งได้ขว้างหินเหล่านี้ใส่เรือของโอดิสซีอัส (หรือยูลีสซีส) แม่ทัพในสงครามเมืองทรอยจากเทพปกรณัมกรีก

               โฮเมอร์ กวีชาวกรีกสมัยศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช เล่าไว้ในมหากาพย์ โอดิหสซีย์ถึงเรื่องราวของวีระบุรุษผู้นี้กับบรรดาเพื่อนร่วมทางของเขา ซึ่งถูกพวกไซคลีอปยักษ์กินคน คุมขังบอยู่บนเกาะชิชิลี ยักษ์พวกนี้มีหัวหน้าชื่อโพลีพิมัส ซึ่งหน้าตาน่าเกลียด เพราะมีดวงตาเพียงข้างเดียวฝังอยู่กลางหน้าผาก ขณะที่โพลีฟีมัสกำลังหลับ โอดิซีอัสกับพรรคพวกใช้คานต้นมะกอกเหลาแหลงลนไฟจนแกร่งและคุกรุ่น แทงเข้าที่ตาของโพลีพิมัส แล้วหลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้ พร้อมเรือของพวกเขา แม้ตาจะบอดและเจ็บปวดสาหัส โพลีพีมัสยังฉีกหินออกจากข้างภูเขา แล้วขว้างใส่พวกของโอดิซีอัสที่ทำร้ายตน แต่หินพลาดเป้าไปตกลงกับพื้น ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงตั้งเด่นอยู่เป็นเครื่องระลึกถึงพละกำลังของยักษ์ไซคล็อปตนนี้ ธรณีพิโรธ ภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna

               ภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna ได้เกิดระเบิดมาแล้วหลายครั้งในหลายศตวรรษที่ผ่านมา แผลงฤทธิ์ขว้างหินใหญ่ขนาดไม่เล็ก ปลิวว่อนไปไกล และส่อแววว่ายังคงโกรธเกรี้ยวอยู่กระทั่งทุกวันนี้

 
ภูเขาไฟเอ็ตนา etna

              มีบันทึกไว้ว่าเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในปี 475 และ 396 ก่อนคริสต์ศักราช และอีกครั้งใน ค.ศ. 812 หรือ 1169 และในคริตส์ศตวรรษที่ 14 ส่วนในปี ค.ศ.1669 เอ็ดนาได้ปริแยกเป็นทางจากยอดถึงเชิงเขา พ่นลาวาหลายล้านตันออกมาทำลายนครกาตาเนียตรงเชิงเขา รวมทั้งภูมิประเทศโดยรอบ การระเบิดครั้งย่อยๆ ก่อนและหลังจากนั้น รวมทั้งสิ้นกว่า 12 ครั้ง ในศตวรรษนี้ ได้ทำลายไร่นา และถมทั้บบ้านเรือนไปหลายหมู่บ้านอยู่เนื่องๆ

              แม้ว่าเรื่องราวการระเบิดของภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna จะสืบย้อนไปได้ถึงยุคสมัยของเทพปกรฌัม แต่ก็ยังนับว่าเป็นภูเขาไฟที่อายุน้อยอยู่ โดยเพิ่งผุดพ้นจากทะเลเมื่อประมาณหนึ่งล้านปี และเริ่มระเบิดครั้งแรกประมาณครึ่งล้านปีให้หลัง ปัจจุบันเอ็ดนาเป็นภูเขาไฟคุกรุ่นที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป มีรอบฐานวัดคร่าวๆ ได้ 160 กม. และครอบคลุมพื้นที่เกือบเท่ากับขนาดของกรุงลอนดอน


                 เช่นเดียวกับภูเขาไฟอีกหลายลูก ความสูงของภูเขาไฟเอ็ตนาได้เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง โดยปัจจุบันมียอดสูงประมาณ 3,320 ม. ทั้งที่ศตวรรษที่ผ่านมา ยอดของภูเขาไฟเอ็ตนาสูงกว่านี้ถึง 30 ม. ส่วนยอดมักเคลื่อนย้ายอยู่เสมอเนื่องจากการระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ส่วนบนสุดถล่มลงมา เกิดเป็นแอ่งรูปจานขึ้นขณะเดียวกันยอดใหม่ก็จะก่อตัวขึ้นใกล้ๆ กัน ภูเขาไฟเอ็ตนาเคยมียอดเขาอยู่ที่อื่นมาแล้วอย่างน้อยสองยอดก่อนมาเป็นยอดปัจจุบัน และที่ด้านข้างของภูเขาไฟมีแอ่งรูปจานขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง วัดโดยรอบได้ 20 กม. และด้านข้างลึกชันลงไปถึง 900 ม.

                 ภาพการเติบโตและเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อาจวางใจ คล้ายการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพขนาดมหึมา ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดขึ้นเมื่อได้เห็นก๊าซและไอน้ำที่เป่าพ่นออกมารวมกับลมหายใจผ่านช่องระบายไอน้ำและปากปล่องเล็กๆ อันที่จริงเอ็ดนาก็เช่นเดียวกับภูเขาไฟที่ยังระอุอยู่ลูกอื่นๆ คือเป็นลิ้นปิดเปิดที่มีรูรั่ว ซึ่งกั้นจุดบอบบางในเปลือกโลกอยู่

                เชื่อกันว่าการระเบิดเกิดจากบ่อลาวาขนาดยาว 30 กม. ลึก 4 กม. ลึกลงไปใต้ภูเขา บ่อนี้ได้รับสารที่หลอมละลายจากก๊าซปริมาณมหาศาลเอ่อขึ้นมาจากใต้เปลือกโลก แรงดันอันรุนแรงนี้ทวีขึ้น และหาทางออกมาตามด้านข้างและด้านบนของภูเขาไฟ จนดันล้นขึ้นมาที่พื้นผิวกลายเป็นน้ำพุเพลิง เมฆหมอกกำมะถัน และธารลาวาท่วมท้นลงมาตามลาดเขา
ความอุดมสมบูรณ์จากเถ้าภูเขาไฟ

                คงมีคนคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย แต่ความจริงแล้ว ลาดไหล่เขาของเอ็ดนาเป็นบริเวณที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดในชิชิลี เพราะแม้ว่าธารลาวาจากภูเขาไฟจะสามารถทำลายบ้านเรือนทรัพย์สิน รวมทั้งถนนหนทางและทางรถไฟให้พังพินาศลงได้ แต่มันก็ไหลลงมานานๆ ครั้ง และไหลช้าๆ แทบไม่ทำให้มีใครเสียชีวิต


 

                สิ่งดึงดูดใจอยู่ที่ว่าลาดเขามีความชุ่มชื่นจากาบ่อน้ำพุ ส่วนเถ้าภูเขาไฟก็ทำให้ดินกลายเป็นหนึ่งในดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก สามารถใช้ปลูกพืชผักได้ถึงห้าครั้งต่อปี ไม้ผลออกผลงาม และไวน์จากเอ็ดนาก็มีรสดีเลื่องชื่อ นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงยังคงสร้างบ้านเรือนและเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมา

                เกือบตลอดประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกเอาไว้ ผู้คนที่อาศัยอยู่บนผืนดินอันอุดมของภูเขาไฟเอ็ตนา ต้องเผชิญกับความรุนแรงสุดยอดของภูเขาไฟ มีเพียงคำสวดภาวนาต่อพระเจ้าให้ช่วยยับยั้งความกราดเกรี้ยวของเอ็ดนาเท่านั้นเป็นอาวุธ คนเหล่านี้เคยแห่บูชาผ้าคลุมหน้าของนักบุญอากาธา เพราะเชื่อว่าจะช่วยหยุดยั้งธารลาวาเอาไว้ได้ แต่เมื่อไม่เป็นผล ต่างก็ทำใจยอมรับชะตากรรมของตนและรอเวลาที่จะสร้างเรือนขึ้นมารใหม่บนซากที่ถูกทำลายไป


               แม้จะมีผู้พยายามที่จะเอาชนะการทำลายล้างของภูเขาไฟเอ็ดนาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าจะได้รับการยอมรับชื่นชมจากคนอื่นๆ เสมอไป ในปี 1669 มีผู้บันทึกไว้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในกาตาเนียพยายามเป็นครั้งแรกที่จะหันเหทิศทางของธารลาวา โดยขุดคูดักไว้เหนือหมู่บ้าน แต่เมื่อดูเหมือนว่าธารลาวาเปลี่ยนทิศไปทางหมู่บ้านที่อยู่ข้างเคียง พวกเขาก็จำต้องล้มเลิกไป
วิธีการสมัยใหม่

             เกิดปัญหาที่คล้ายกันในเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้ในการระเบิดเมื่อปี 1991 – 2 ซึ่งเหลือเวลาเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่เมืองซัฟเฟรานาจะถูกทับถมทำลายนั้น ศาสตราจารย์ฟรังโก บาร์เบรี ผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟของรัฐบาลอิตาลีชี้ให้เห็นว่า อันตรายใหญ่หลวงไม่ได้อยู่ที่ลาวาที่แผ่ขยายออกไป เพราะมันแข็งตัวอย่างรวดเร็วในที่โล่ง แต่อยู่ที่ธารลาวาแคบๆ ซึ่งจะไหลทันอย่างรวดเร็วลงตามคูและอุโมงค์ที่ขุดขึ้น จนพรั่งพรูล้นท่วมบริเวณที่ลาดที่อยู่ต่ำลงไป

           ดังนั้นบาร์เบรีจึงใช้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศอิตาลีและนาวิกโยธินสหรัฐฯ ไปทิ้งคอนกรีตก้อนใหญ่ๆที่ล่ามเข้าไว้ด้วยกันลงในช่องทางไหลที่อยู่สูงขึ้นไปบนไหล่เขา และระเบิดอุโมงค์ ที่อยู่ต่ำลงมา สำหรับทีมปฏิบัติงานในเฮลิคอปเตอร์ที่บินผ่านก๊าซ ไอน้ำและควันไปนั้น นับว่าต้องเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง แต่พวกเขาก็วางคอนกรีตไว้ได้ตรงตามจุดพอดี ก้อนคอนกรีตเหล่านี้เข้าไปอุดอุโมงค์ไว้เหมือนกับมันฝรั่งในกระชอน ทำให้ลาวากระจายตัวออกไปตามลาดเขาส่วนบนๆ และแข็งตัวกั้นทางไหลต่อไป ในช่วงเวลานั้น ซัฟเฟรานาเรียกได้ว่าแทนพ้นอันตรายแล้ว มีบ้านเรือรอบนอกหลายหลังถูกทำลายไป เจ้าของบ้านหนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งมีอัธยาศัยดีแบบชาวชิชิลีแท้ๆ ได้วางขวดไวน์เอาไว้บนโต๊ะ และอธิบายว่า “สำหรับเอ็ดนา เพราะมันคงเหนื่อยแล้วก็หิวน้ำ”
ทิวทัศน์จากยอดเขาเอ็ตนา Mount Etna

          การเดินขึ้นภูเขาเอ็ดนา ซึ่งไม่ยากเพราะลาดเขาไม่ชันนัก เป็นการเปิดหูเปิดตาเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของพื้นที่นี้เถาองุ่น ต้นส้มและต้นถั่วปิสตาลิโอขึ้นคลุมลาดเขาล่างๆ อยู่เต็ม แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแอปเปิลและเชอร์รี่ เหนือขึ้นไปเป็นลาดเขาที่ปกคลุมด้วยป่าต้นโอ๊ก ต้นเชสต์นัต ต้นเฮเชลและต้นเบิร์ช สูงขึ้นไปอีกเป็นหินลาวาที่พังลงมาตากแดดตากลมอยู่ ซึ่งแทบไม่มีอะไรงอกงามได้ นอกจากพืชพันธุ์แบบเทือกเขาแอลป์และเนินต้นมิลก์เวตช์ชิชิลีเป็นหย่อมๆ


ดอกไม้ในที่สูง ดอกไวโอเลตเอ็ตนาจะบานอยู่ตามกองเศษหินบนลาดเขาเท่านั้น

           ที่นี่ยังมีหลุมหิมะที่ไม่ละลายตลอดปี ซึ่งในสมัยก่อนหิมะเหล่านี้จะถูกโกยไปพร้อมกับเถ้าเย็นๆ จากนั้นก็จะถูกส่งไปยังเนเปิลล์และโรมในฤดูร้อนเพื่อใช้ทำไอศกรีม พวกขุนนางท้องถิ่นถือว่าเถ้านี้เป็นผลิตผลที่สำคัญกว่าไวน์เสียอีก อย่างไรก็ตามพื้นที่ใกล้ยอดเขาเป็นบริเวณที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตเลย เพราะเป็นดินแดนเวิ้งว้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยกากหิน เถ้าถ่านและหินลาวา คั่นด้วยร่องที่มีไอคุกรุ่นขึ้นมา สะท้อนให้รู้ถึงจุดเริ่มต้นของโลก ปากปล่องที่ดูคล้ายช่องท้องที่เปิดอ้าอยู่นั้นเปื้อนออกไซด์และซัลเฟต และมีความลึกต่างกันไปตามแรงไหลของลาวาที่อุดอยู่

ทิวทัศน์จากยอดเขา ภูเขาไฟเอ็ตนา Mount Etna

              เวลาที่ดีที่สุดที่จะมาชมเอ็ดนาคือ ก่อนย่ำรุ่งเมื่อปากปล่องเต้นไปตามแสงเรืองสีแดง ซึ่งเป็นเครื่องบอกทางให้นักเดินเรือมาตั้งแต่มีการแล่นเรือในเมดิเตอร์เรเนียนเป็นต้นมา ครั้งแล้วดวงอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นเห็นชิชิลีและกาลาเบรียอยู่เบื้องล่าง เงาของเอ็ดนาทอดยาวมาทางเรา ไกลออกไปเห็นเกาะมอลตาอยู่ลิบๆ และขณะที่ความพินาศในยุคดึกดำบรรพ์ยังคงคุกรุ่นอยู่ใต้เท้านี้ ความคิดที่ว่านี่คือดินแดนที่เป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมตะวันตก คงพอจะปลอบประโลมใจได้


Cr.ความรู้รอบตัว.com

สิ่งของที่ห้ามนําขึ้นเครื่องบิน

             สิ่งของที่ห้ามนําขึ้นเครื่องบิน กันค่ะ สำหรับคนที่ ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก หรือยังไม่รู้ว่าในการขึ้นเครื่องบินนั้น ของที่ห้ามนําขึ้นเครื่องบิน นั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

             หลักเกณฑ์และวิธีการปฎิบัติเกี่ยวกับการนำสัมภาระติดตัวประเภทของเหลว เจล หรือสเปรย์ขึ้นเครื่องบินตามประกาศของกรมการขนส่งทางอากาศซึ่งสอดคล้องกับแนวทางปฎิบัติของ ICAO ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มิ.ย.2550


1. ของเหลว เจล หรือ สเปรย์ ตามประกาศของกรมการขนส่งทางอากาศ ได้แก่ น้ำ เครื่องดื่ม ครีม โลชั่น ออยส์ น้ำหอม สเปรย์ เจลใส่ผม เจลสำหรับอาบน้ำ โฟมชนิดต่างๆ ยาสีฟัน น้ำยากำจัดกลิ่นตัว และของอื่น ๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน

2. ของเหลวซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฎิบัติตามประกาศฉบับนี้ ได้แก่ นมและอาหารสำหรับเด็ก ยา ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งได้ให้พนักงานที่จุดตรวจค้นเพื่อการรักษาความปลอดภัยตรวจสอบแล้ว

3. การปฎิบัติตามประกาศฉบับนี้ให้ใช้กับทุกเที่ยวบินทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและเที่ยวบินภายในประเทศ ซึ่งเดินทางออกจากสนามบินในประเทศไทย

4. ห้ามผู้โดยสารนำสัมภาระติดตัวซึ่งมีของเหลว เจล หรือ สเปรย์ ขึ้นเครื่องบิน เว้นแต่จะได้ดำเนินการดังต่อไปนี้

 4.1 ของเหลว เจล สเปรย์ หรือวัตถุและสารอื่นๆซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันต้องบรรจุในภาชนะซึ่งมีปริมาณความจุไม่เกิน100 มิลลิลิตร (หรือปริมาณที่เทียบเท่ากันในหน่วยวัดปริมาตรอื่น) สำหรับภาชนะซึ่งมีปริมาณความจุเกิน 100 มิลลิลิตรจะนำขึ้นเครื่องบินไม่ได้แม้ว่าจะบรรจุของเหลว เจล สเปรย์ หรือวัตถุและสารอื่นๆซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันไว้เพียงเล็กน้อย


4.2 ภาชนะที่ใส่ของเหลว เจล สเปรย์ หรือวัตถุและสารอื่นๆซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ต้องใส่รวมไว้ในถุงพลาสติกใสที่มีปริมาณความจุไม่เกิน 1 ลิตร (ประมาณ 20X20 ซม.)และสามารถปิดผนึกได้ (Transparent Re-Sealable Plastic Bag) โดยต้องปิดผนึกปากถุงให้เรียบร้อย
4.3 ผู้โดยสารสามารถนำถุงพลาสติกใสขึ้นเครื่องบินได้คนละ 1 ถุง
4.4 ผู้โดยสารต้องแยกถุงพลาสติกใสซึ่งใส่ภาชนะของเหลว เจล หรือ สเปรย์ ออกจากสัมภาระติดตัวอื่นๆ รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Laptop Computer) และเสื้อคลุม เมื่อถึงจุดตรวจค้นเพื่อการรักษาความปลอดภัย (Security Screening Point)

5. ของเหลว เจล หรือ สเปรย์ซึ่งซื้อจากร้านค้าปลอดอากร (Duty Free Shops) ที่สนามบินหรือซื้อบน เครื่องบินต้องบรรจุไว้ในถุงพลาสติกใสซึ่งปิดผนึกปากถุงและไม่มีร่องรอยผิดปกติให้สงสัยว่ามีการเปิดปากถุงหลังจากการซื้อ และมีหลักฐานแสดงว่าซื้อจากร้านค้าปลอดอากรที่สนามบินหรือบนเครื่องบินในวันที่ผู้โดยสารนั้นๆเดินทาง

สำหรับการดำเนินการกับของเหลว สเปรย์ และเจลก่อนขึ้นเครื่องบินที่ ICAO แนะนำให้สนามบินปฏิบัติ คือ
1. ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำของเหลวทุกชนิดที่มีความจุเกิน 100 มิลลิลิตรขึ้นอากาศยาน
2. ภาชนะที่บรรจุของเหลวต้องเป็นภาชนะพลาสติกใสที่สามารถเปิด-ปิดได้ (Re-sealable) โดยภาชนะดังกล่าวต้องมีความจุไม่เกิน 1 ลิตร และต้องถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์
3. หลังจากผ่านเครื่อง X-ray แล้ว ภาชนะพลาสติกใสต้องถูกตรวจสอบด้วยสายตาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้โดยสาร 1 คนสามารถนำภาชนะพลาสติกขึ้นเครื่องได้คนละ 1 ใบเท่านั้น
4. มาตรการนี้ไม่รวมถึงยารักษาโรค นม และอาหารของเด็กทารก รวมทั้งอาหารชนิดพิเศษสำหรับผู้ป่วย
5. เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบ ควรนำถุงพลาสติกใสที่บรรจุของเหลวตรวจแยกต่างหากจากกระเป๋าสัมภาระอื่นๆ
6. มาตรการนี้ไม่รวมถึงของเหลวที่จำหน่ายจากร้านค้าหลังจุดตรวจค้น โดยของเหลวดังกล่าวต้องบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสที่ปิดผนึกอย่างดี และจะต้องพร้อมได้รับการตรวจตามความจำเป็น

Cr.Siamha

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

Bard of Avon William Shakespeare กวีแห่งเอวอน




               วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) เกิดวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1564และเสียชีวิตลงในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 เป็นกวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ เชกสเปียร์เกิดและเติบโตที่เมืองสแตรทฟอร์ด ริมแม่น้ำเอวอน เมื่ออายุ 18 ปี เขาสมรสกับแอนน์ ฮาธาเวย์ มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ ซูซานนา และฝาแฝด แฮมเน็ตกับจูดิธ ระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1585-1592

               เชกสเปียร์ได้รับยกย่องทั่วไปว่าเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษและของโลก มักเรียกขานกันว่าเขาเป็นกวีแห่งชาติของอังกฤษ และ "Bard of Avon" (กวีแห่งเอวอน) งานเขียนของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน ประกอบด้วยบทละคร 38 เรื่อง กวีนิพนธ์แบบซอนเน็ต 154 เรื่อง กวีนิพนธ์อย่างยาว 2 เรื่อง และบทกวีแบบอื่นๆ อีกหลายชุด บทละครของเขาได้รับการแปลออกไปเป็นภาษาต่างๆ มากมาย และเป็นที่นิยมนำมาแสดงมากที่สุดในบรรดาบทละครทั้งหมด

               เขาประสบความสำเร็จในการเป็นนักแสดงในกรุงลอนดอน รวมถึงการเป็นนักเขียน ได้ร่วมเป็นหุ้นส่วนในคณะละครลอร์ดเชมเบอร์เลน (Lord Chamberlain's Men) ซึ่งในภายหลังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในชื่อ King's Men 
                  

              ผลงานที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของเชกสเปียร์ประพันธ์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1590 ถึง 1613 ในยุคแรกๆ บทละครของเขาจะเป็นแนวชวนหัวและแนวอิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวทางบทละครที่เป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ค.ศ. 1501 ถึง ค.ศ. 1600)  ต่อมาเขาเขียนบทละครแนวโศกนาฏกรรมหลายเรื่อง รวมถึงเรื่อง แฮมเล็ต , King Lear และ แม็คเบธ ซึ่งถือว่าเป็นบทละครตัวอย่างชั้นเลิศของวรรณกรรมอังกฤษ

    
           
               เชกสเปียร์เกษียณตัวเองกลับไปยังสแตรทฟอร์ดในราวปี ค.ศ. 1613 และเสียชีวิตในอีกสามปีต่อมา(ค.ศ.1616) ไม่ค่อยมีบันทึกใดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเชกสเปียร์มากนัก จึงมีทฤษฎีมากมายที่คาดกันไปต่างๆ นานา เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว ความเชื่อทางศาสนา และแรงบันดาลใจในงานเขียนของเขา

Shakespeare-WillSignature3.png
ลายมือชื่อ เชกสเปียร์
เรื่องเศร้า
  • โรมิโอกับจูเลียต
  • Coriolanus
  • Titus Andronicus†
  • Timon of Athens†
  • จูเลียส ซีซาร์
  • แมคเบธ†
  • แฮมเลต
  • ทรอยลัสกับเครสสิดา
  • King Lear
  • โอเธลโล
  • Antony and Cleopatra
  • Cymbeline*
ประวัติศาสตร์
  • King John
  • Richard II
  • Henry IV, part 1
  • Henry IV, part 2
  • Henry V
  • Henry VI, part 1†
  • Henry VI, part 2
  • Henry VI, part 3
  • Richard III
  • Henry VIII†
เรื่องตลกขบขัน
  • All's Well That Ends Well
  • The Comedy of Errors
  • Love's Labour's Lost
  • Measure for Measure‡
  • เวนิสวาณิช
  • The Merry Wives of Windsor
  • ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน
  • Much Ado About Nothing
  • Pericles, Prince of Tyre*†
  • The Taming of the Shrew
  • The Two Gentlemen of Verona
  • The Two Noble Kinsmen*†
  • The Winter's Tale*


บทกวี
  • ซอนเน็ต
  • Venus and Adonis
  • The Rape of Lucrece
  • The Passionate Pilgrim
  • The Phoenix and the Turtle
  • A Lover's Complaint
งานสูญหาย
  • Love's Labour's Won
  • Cardenio†
งานเคลือบแคลง
  • Arden of Faversham
  • The Birth of Merlin
  • Locrine
  • The London Prodigal
  • The Puritan
  • The Second Maiden's Tragedy
  • Sir John Oldcastle
  • Thomas Lord Cromwell
  • A Yorkshire Tragedy
  • Edward III
  • Sir Thomas More



               ผลจากชื่อเสียงและความนิยมในผลงานของเชกสเปียร์ จึงมีอนุสรณ์สถานและอนุสาวรีย์ของเชกสเปียร์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่อไปนี้เป็นต้วอย่างอนุสาวรีย์บางแห่งที่โดดเด่นเป็นที่น่าจดจำ


ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ของเชกสเปียร์ โดยเป็นน้ำพุอยู่กลางจัตุรัสอนุสาวรีย์เชกสเปียร์ ที่จัตุรัสเลสเตอร์ในกรุงลอนดอน (Leicester Square, London)







รูปปั้นครึ่งตัวของเชกสเปียร์ที่โบสถ์โฮลี่ทรินิตี้ ในเมืองสแตรทฟอร์ด ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของเชกสเปียร์ (Stratford-upon-Avon , United Kingdom)

   

 



โกเวอร์เมมโมเรียล ที่อุทยานบันครอฟต์ เมืองสแตรทฟอร์ด เป็นรูปปั้นเชกสเปียร์ในท่านั่ง ด้านข้างมีรูปปั้นของเลดี้แมคเบธ เจ้าชายฮัล แฮมเล็ต พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 และฟอลสตัฟฟ์ เป็นตัวแทนหมายถึง ปรัชญา โศกนาฏกรรม ประวัติศาสตร์ และความขบขัน ผู้อนุเคราะห์การก่อสร้างคือลอร์ดโรนัลด์ ซุทเทอร์แลนด์-โกเวอร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888


     

     



อนุสาวรีย์เชกสเปียร์ที่ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ กรุงลอนดอน โดยตั้งอยู่ที่ "มุมกวี" (Poets' Corner) ของวิหาร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1740

 



รูปปั้นครึ่งตัวของเชกสเปียร์ สร้างโดย ลูอิส ฟรังซัวส์ โรบิลเลียค ศิลปินงานปั้นชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียมประเทศอังกฤษ






อนุสาวรีย์เชกสเปียร์ที่ เซนทรัลปาร์ก ในเมืองนิวยอร์ก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1864 ในโอกาสครบรอบ 300 ปีวันเกิดของเชกสเปียร์ (Central Park in Autumn, New York City)