วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

วันนี้เมื่อวันวานมีการยกเลิกการให้บริการโทรเลข


                                                         

บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ยกเลิกการให้บริการโทรเลข เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้บริษัทต้องแบกรับค่าใช้จ่ายราว 25 ล้านบาทต่อเดือนให้กับบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ผู้ให้บริการ เนื่องจากมีผู้ใช้บริการวันละไม่ถึง 100 ฉบับ และข้อความในโทรเลขส่วนมากมักเป็นจดหมายทวงหนี้

เฝ้าระวัง 4 กลุ่มโรคเสี่ยงระบาดหนัก ปี 57


                                         

ระวัง! ปี 57 เฝ้าระวัง 4 กลุ่มโรคเสี่ยงระบาดหนัก ทั้งอหิวาตกโรค ไทฟอยด์ สุกใส ไข้สมองอักเสบ ฯลฯ ระบาดเพิ่มจากปี 2556 แน่ เตือนประชาชนป้องกัน

วันนี้ (6 มี.ค.) นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุม DDC Forum เรื่อง “การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพ ปี 2557” ว่า จากการเฝ้าระวังโรคย้อนหลัง 10 ปีที่ผานมา โรคที่น่าเป็นห่วงว่าจะมีการระบาดมากในปี 2557 พยากรณ์ได้ว่าออกเป็น 4 กลุ่มโรค คือ 1.กลุ่มโรคอาหารและน้ำ ปีที่ผ่านมาป่วยถึง 1.2-1.3 ล้านคน ได้แก่ อหิวาตกโรค คาดว่า ปี 2557 ถ้าไม่มีการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่ดี จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 3.8 เท่า คือประมาณ 280-340 ราย โดยอหิวาตกโรคจะระบาดปีเว้นสองปี ไทฟอยด์ คาดว่าปี 2557 จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 มีผู้ป่วยประมาณ 2,700-3,300 ราย และไวรัสตับอักเสบ A คาดว่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 มีผู้ป่วยประมาณ 430-520 ราย

นพ.โสภณ กล่าวว่า 2.โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน คือ สุกใส คาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 58,000-71,000 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 โดยในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยสูงสุดอยู่ในช่วง ม.ค.-มี.ค.และเกิดในกลุ่มคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน และอีกโรคคือไอกรน 3.โรคเกี่ยวกับประสาทและสมอง คือ ไข้สมองอักเสบ คาดจะมีผู้ป่วยประมาณ 680-830 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และไข้กาฬหลังแอ่น คาดจะมีผู้ป่วยประมาณ 14-17 ราย น่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และ 4.อื่นๆ คือโรคที่เกิดจากสัตว์ ทั้งนี้ การพยากรณ์โรคเป็นการคาดการณ์ของโรคภัยที่อาจเกิดกับประชาชน เพื่อเตรียมการล่วงหน้ารับมือหรือปรับเปลี่ยนมาตรการให้เหมาะสม รวมทั้งสื่อสารความเสี่ยงเตือนภัยการระบาดของโรคแก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“คำแนะนำสำหรับโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ยึดหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ส่วนโรคสุกใส เกิดจากการร่วมกิจกรรมคลุกคลีกับผู้ป่วย โรคไข้สมองอักเสบ ควรได้รับวัคซีนตามกำหนด โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 1 ขวบครึ่ง 2 เข็ม และกระตุ้นเมื่อ 2 ขวบครึ่ง ถ้าอยู่ในชนบทให้ป้องกันยุงท้องนากัด โดยนอนในมุ้ง ส่วนโรคไข้กาฬหลังแอ่น แนะนำให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด เมื่อมีอาการป่วย ให้รีบไปหาแพทย์ทันที” อธิบดี คร.กล่าว

เคล็ด (ไม่) ลับ การชงชาให้มีรสกลมกล่อม

1.น้ำต้องเดือด 100 องศาจะทำให้ชามีกลิ่นหอม

2.ปริมาณชานั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ดื่มว่าต้องการรสเข้มหรืออ่อน แต่ปกติใช้ประมาณ 1/6-1/4 ของปริมาตรกา

3.รินน้ำเดือดลงในกาครึ่งหนึ่งและเททิ้งทันทีเพื่อล้างและอุ่นใบชาให้ตื่นตัว


                                 


4.รินน้ำชาดื่มแต่ละครั้งควรรินให้หมดกา อย่าแช่น้ำในใบชาเพราะจะทำให้รสเข้มเกินไป แต่ควรจะเติมน้ำเดือดทุกครั้งที่จะดื่ม

5. ใบชาสามารถชงได้ 4 – 6 ครั้ง ( ชาถ้วยต่อไปรสชาติจะเหมือนถ้วยแรก เพียงแต่กลิ่นอาจจะจาง )

6.การฝึกชงชาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาฝีมือการชงชาให้อร่อย

ผลเสียจากการกินน้ำตาล

                                                              ผลเสียจากการกินน้ำตาล
                                                                     [ BAD SUGAR ]


                                 



ทราบหรือไม่ว่าการกินน้ำตาลมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ . . .

ถึงแม้ว่าน้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรคดังนี้

1. เมื่อกินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง


3. หากยังคงกินน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การกินน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการกินน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

รู้อย่างนี้แล้ว ควรกินน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมจะดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดีกันนะ