วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุกสบายที่สุดในโลก !!


             เพราะคุกบาสตอยของนอเวย์ ได้รับอนุญาตให้นักโทษมีสิทธิทำกิจกรรมต่างๆภายในคุก ทั้งนอนอาบแดด เดินชมชายหาด หรือเล่นกีฬา ส่วยงานของนักโทษ คืองานทำไร่ ซ่อมรถจักรยาน และงานในโรงไม้



            โดยนักโทษยังได้รับค่าตอบแทนวันละ 6 ปอนด์และได้รับเบี้ยเลี้ยงจำนวน 70 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เพื่อนำไปซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตอีกด้วย ขณะที่ทางผู้คุมเรือนจำเผยว่าการปฏิบัติดังกล่าวจะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมของนักโทษไม่ให้ทำผิด และกลับมาเข้าคุกได้อีกแต่ก็ยังอยู่ขั้นการทดลองเท่านั้น เห็นทีงานนี้คงจะมีนักโทษเพิ่มขึ้นแน่ๆ เพราะคุกน่าอยู่กว่าบ้านจองตนเองเสียอีก


บ้านไม้สีหวานซึ่งเป็นที่พักของนักโทษ



ห้องสมุดของเรือนจำบาสตอย



เกาะบาสตอยซึ่งใช้เวลาขับรถจากกรุงฮอสโลไปทางทิศใต้เพียง 1 ชั่วโมง




วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มากำจัดความเบื่อกัน ! 0.0





ด้วยเทคนิคช่วยบูทส์อารมณ์ตื่นเต้น ปลุกประสาทตื่นตัว สร้างแรงบันดาลใจพร้อมลุยให้ลุล่วง!

ในบางโอกาสที่จำต้องเกี่ยวข้องกับกิจกรรม หรือ รับผิดชอบในสิ่งที่ไม่รู้สึกสนใจ ดูจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ และยากจดจ่ออยู่ได้นาน แต่ทว่าเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยง แล้วยังคงความอิดหนาระอาใจไว้ ย่อมไม่เกิดประโยชน์ หรือ ช่วยให้ลุแก่หน้าที่นั้นได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญหนึ่งในการช่วยบูทส์อารมณ์ให้ตื่นตัวพร้อมลุย! คือ ‘การสร้างแรงบันดาลใจ’
 
จะสังเกตว่า อารมณ์เบื่อนั้น อาจเกิดจากความวิตกกังวลมากเกินไป เกี่ยวกับภาระหลายด้านที่ต้องรับผิดชอบในห้วงเวลาเดียวกัน ชวนให้บั่นทอนพลังใจได้ ลองเปลี่ยนมุมมองจากความเบื่อ มาโฟกัสที่รางวัลชิ้นงามหลังงานสำเร็จ เช่น ความตั้งใจที่จะใช้เวลาพักผ่อนทำกิจกรรมโปรดอย่างเต็มที่ เป็นต้น ซึ่ง ‘การตั้งรางวัลให้ตนเอง’ นี้ เป็นเทคนิคหนึ่งที่หลายคนบอกว่า ช่วยสร้างความสดชื่นกระชุ่มกระชวยในใจได้ดี กระตุ้นให้ตั้งมั่นขับเคลื่อน เพื่อเร่งสะสางงานนั้น ๆ ด้วยความเรียบร้อยโดยเร็ว
 
นอกจากนั้น ‘การนึกถึงความสำเร็จที่ผ่านมา’ ไม่ว่าจะด้านวิชาการ กีฬา หรือ จากความสามารถพิเศษในทางอื่น ๆ ซึ่งสร้างความภูมิใจเมื่อครั้งอดีต ถือเป็นกำลังใจอย่างดี เพราะหลักสำคัญหนึ่ง คือ เคยก้าวผ่านฝ่าฝันโจทย์ที่แฝงความเหนื่อยหน่ายในช่วงนั้น ๆ มาแล้วด้วยความพยายาม ถึงวันนี้..อย่าลืมความเชื่อมั่นว่าต้องทำได้เช่นกัน!
 
ขณะที่ ‘การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบนโต๊ะทำงาน’ เดือนละครั้ง จัดระเบียบเอกสาร ของใช้ ให้เข้าที่เข้าทาง ก็ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น โดยอาจสร้างพื้นที่สีเขียวเล็ก ๆ บนโต๊ะทำงาน เป็นจุดพักสายตา ซึ่งเคยมีการศึกษาจากต่างประเทศพบว่า สีเขียวนอกจากจะให้ความรู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ดี.
สัญญาณอาการติดสมาร์ทโฟนอย่างหนัก




สมาร์ทโฟน กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีติดตัวไว้สำหรับเหล่าวัยรุ่น และวัยทำงานทั้งหลาย ด้วยเทคโลโลยีที่ก้าวไกลทำให้จากโทรศัพท์มือถือธรรมดา กลายเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ต้องการ ทำให้หลายคนขาดสมาร์ทโฟนไม่ได้ จนเกิดอาการที่เรียกว่าติดสมาร์ทโฟนขึ้นมา

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังติดสมาร์ทโฟนอย่างหนัก มีดังนี้

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 
1. ดูโทรศัพท์ทุกครั้งที่มันดัง ไม่ว่าจะดังด้วยเหตุผลอะไร เช่น แจ้งเตือนข้อความเข้า อีเมลล์ แชท อัพเดต โซเชียลเน็ตเวิร์ค คุณก็จะต้องหยิบขึ้นมาดูในทันที ไม่ว่าจะกำลังยุ่งอยู่กับอะไรอยู่ก็ตาม หรือว่าสถานการณ์นั้นจะไม่เหมาะสมต่อการหยิบขึ้นมาคุณก็ไม่สนใจ

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 2. หลอนว่าโทรศัพท์สั่น คุณจะรู้สึกว่าโทรศัพท์สั่นอยู่บ่อยๆ แต่พอหยิบมาดูก็ไม่มีอะไร เนื่องจากความพะวงว่าจะมีข้อความเข้า หรือแจ้งเตือนอะไร อยู่ตลอดเวลา จนทำให้เกิดอาการหลอน

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 3. กังวลตลอดเวลา เกี่ยวกับบุคคลในสังคมออนไลน์ ว่าจะกำลังทำอะไร มีเหตุการณ์อะไรในโซเชียลเน็ตเวิร์คเกิดขึ้นบ้าง คุณจะไม่อยากพลาดสักเหตุการณ์เดียว ไม่เช่นนั้นจะทำให้รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 4. ไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่ว่าจะทำอะไร ทานข้าว นั่งรถ อยู่กับครอบครัว คุณจะไม่สนใจใคร แต่จะอยู่กับมือถือตลอดเวลา ทานข้าวก็ต้องวางไว้ข้างๆ หรือหยิบมาเล่นไปด้วยทานไปด้วย เป็นต้น

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 5. ไม่เป็นอันทำอะไร หรือจะหงุดหงิด จิตตกมาก เมื่อต้องอยู่ห่างจากมือถือ หรือตอนที่มือถือแบตหมด ซึ่งคุณจะยายามให้สามารถใช้งานได้อย่างเร็วที่สุด

สัญญาณ อาการติดสมาร์ทโฟน 6. ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ทำให้ผลการเรียน หรือผลงานออกแย่กว่าเดิม เพราะมัวแต่เอาเวลาไปสนใจแต่มือถืออยู่นั่นเอง

หากคุณมีอาการเหล่านี้นั่นแสดงว่าคุณกำลังติดสมาร์ทโฟนอย่างหนักเลยทีเดียว และทำให้มีผลต่อชีวิตประจำวันของคุณด้วย ทางที่ดี ควรมีปฏิสัมพันธกับคนรอบข้างบ้าง และรีบปรับพฤติกรรมอย่างด่วน

เคยได้ยินไหมที่เค้าเตือนกันผลวิจัยชี้ยิ่งหิวยิ่งซื้ออาหารขยะ ?







ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาวิจัยที่พบว่าผู้ที่อดอาหารหรืออยู่ระหว่างการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักจะซื้อและบริโภคอาหารมากกว่าผู้ที่ใช้ชีวิตปกติ

อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยดังกล่าวดูเหมือนจะไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก แต่ล่าสุดทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์พบว่า ผู้ที่รู้สึกหิวจะมีความเป็นไปได้ที่จะซื้ออาหารที่ไม่มีประโยชน์หรือมีแคลอรีสูงมากกว่า ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตได้
 
ผลการวิจัยดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอเมริกัน เมดิซิน อินเทอร์นัล เมดิซิน เมื่อเร็วๆ นี้ มีขึ้นเพื่อตอบคำถามของนักวิจัยที่สงสัยว่าการออาหารนั้นส่งผลต่อการเลือกซื้ออาหารหรือไม่
ทีมวิจัยทำการทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานดังกล่าวโดยศึกษาจากอาสาสมัครจำนวน 68 คน ซึ่งถูกกำหนดให้ทำการอดอาหารเป็นเวลา 5 ชั่วโมง ก่อนจะทำการทดลองด้วยการซื้ออาหารจากร้านค้าออนไลน์ที่จำลองขึ้นมา โดยมีสินค้าที่มีแคลอรีสูง เช่น ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว และเนื้อแดง รวมถึงอาหารแคลอรีต่ำ เช่น ผลไม้ ผัก และเนื้ออกไก่ ให้เลือกซื้อโดยไม่มีการกำหนดราคา

จากนั้นทำการทดลองซ้ำกับอาสาสมัครกลุ่มเดิมแต่ให้เลือกซื้ออาหารหลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว นอกจากนี้ยังมีการตามเก็บข้อมูลจากผู้ที่เข้าซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตในเวลาหลังอาหารกลางวันขณะอิ่มและก่อนเวลาอาหารขณะที่กำลังหิวด้วย

ทั้งนี้ผลการทดลองพบว่าผู้ที่กำลังหิวจะเลือกอาหารที่มีแคลอรีสูงในจำนวนที่มากกว่าคนที่กำลังอิ่ม แต่จำนวนอาหารที่เลือกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย

ทั้งนี้ทีมวิจัยระบุว่าผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นความเสี่ยงของสุขภาพของประชาชนเป็นวงกว้างเนื่องจากการอดอาหาร ไม่ว่าจะเป็นไปตามความเชื่อทางศาสนา เพื่อลดน้ำหนัก หรือเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย เป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป ดังนั้น ทีมวิจัยเตือนว่าไม่ควรที่จะเลือกซื้ออาหารในช่วงเวลาที่กำลังหิว เช่น ช่วงบ่ายแก่ๆ สามารถส่งผลกระทบต่อการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ได้
 
สัญญาณ WiFi อันตรายที่มองไม่เห็น




ปัจจุบันมีการใช้สัญญาณ WiFi อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ แต่ใครจะรู้บ้างว่าสัญญาณเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก เพราะสมองและส่วนกะโหลกศีรษะของเด็กยังกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต

Dr.Om Ghandhi แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ กล่าวว่า เนื้อสมองของเด็กวัย 5-10 ขวบ ซึ่งยังอ่อนอยู่ จะถูกสัญญาณของคลื่น WiFi ทะลุทะลวงได้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่

ดังนั้น หากที่บ้านของเรามีสัญญาณ WiFi และคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้เด็กๆ ได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือแท็บเล็ต หรือเล่นเกมทางอินเทอร์เน็ตนั่น อาจต้องระวังให้มากว่าเด็กๆ กำลังเสี่ยงกับการมีปัญหาสุขภาพที่เกิดจาก WiFi และหากคลื่นสัญญาณมีกำลังแรงมาก อาจส่งผลทำให้เด็กบางคนเกิดอาการดังนี้
1. ปวดศีรษะบ่อยๆ (ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์)
2. มีอาการเวียนหัวและรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน
3. มองเห็นเลือนรางและมีความผิดปกติทางการมองเห็น เช่น เห็นพื้นที่กำลังเดินอยู่มีลักษณะเอียง หรือมีความรู้สึกเหมือนเดินลงเขา
4. มีความผิดปกติทางการได้ยิน เช่น ได้เสียงของคุณครูฟังดูแปลกๆ มีเสียงสูง ต่ำ ทั้งๆที่คุณครูยังคงพูดเสียงปกติเหมือนเดิม
5. มีปัญหาในเรื่องของความจำ
6.ไม่มีสมาธิเวลาเรียนหรือขาดความสนใจในบทเรียน
      
มีงานวิจัยที่กล่าวถึงผลของ Wi-Fi ต่อสุขภาพ พบว่า สัญญาณ Wi-Fi มีผลต่อทารกในครรภ์มารดา ซึ่งรายงานนี้ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ ที่มีชื่อว่า the Australasian Journal of Clinical Environmental Medicine
       
โดยรายงานนี้ได้ระบุว่า สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยจากอุปกรณ์ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เป็นสาเหตุให้เกิดการจับตัวกันของธาตุโลหะในเซลล์สมอง ซึ่งการสะสมนี้จะทำให้เกิดอาการออทิสติกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าสัญญาณ WiFi เป็นอันตรายกับเด็ก เพราะสัญญาณที่ส่งออกไปทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดการทำงาน ทำให้ไม่สามารถหายใจได้สะดวก และทำให้ดีเอ็นเอภายในร่างกายถูกทำลายและทำงานไม่เป็นปกติหลังจากได้รับไปเป็นเวลานาน และคลื่นเหล่านี้ถูกค้นพบว่าทำให้มีผลต่อเม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
       
ในปัจจุบันโรงเรียนประถมเซนต์วินเซนต์ยูเฟรเซีย ใน Meaford ออนตาริโอ ของแคนาดา ได้ห้ามไม่ให้มีระบบสัญญาณ Wi-Fi ในโรงเรียนระดับอนุบาลและประถมต้น เช่นเดียวกับบางโรงเรียนอนุบาลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เนื่องจากมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า คลื่นความถี่ของระบบสัญญาณ WiFi ที่มีความเข้มข้นนั้นอาจมีผลเสียต่อพัฒนาการและอาจทำให้เกิดเนื้องอกในสมองของเด็กได้
       
แม้การมีคลื่นสัญญาณ WiFi ใช้สร้างประโยชน์ให้กับเราอย่างมากมาย ทั้งเรื่องการติดต่อสื่อสาร การค้นคว้าข้อมูลเพื่อการศึกษา การทำธุรกิจการค้า ฯลฯ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่มีแต่ประโยชน์และไม่มีโทษร่วมด้วย ดังนั้นจึงควรใช้มันอย่างฉลาด รู้จักควบคุมการใช้ของตัวเอง เช่นการไม่ใช้นานเกินไปในแต่ละวัน หรือใช้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้นก็พอ

ซึ่งนอกจากสัญญาณ WiFi แล้ว ยังรวมถึงการใช้ไมโครเวฟ และโทรศัพท์มือถือด้วยที่มีผลเสียต่อร่างกายได้ถ้าใช้อย่างไม่ระวังหรือมากเกินไป


5 อาชีพแปลกเงินเดือน !!


               แน่นอนว่า การมองหาอาชีพ ในยุคนี้คงจะพิจารณาองค์ประกอบหลายๆ อย่าง และรอบด้าน เพื่อจะได้ไม่พลาด เพราะการลงทุนแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินจำนวนมาก web Sanook Money ได้ไปรวบรวมอาชีพสุดแปลก จากเว็บไซต์ดังในต่างประเทศ ไม่ได้แปลกอย่างเดียว แต่ยังทำเงินต่อเดือนในระดับที่น่าพอใจเลยที่เดียว ลองมาพิจารณากันดูว่า 5 อาชีพแปลกที่ทำ
เงินสุดแพง นั่นมีอะไรกันบ้าง !!


1.สัปเร่อ
รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 45,060 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1,400,000 บาท อาชีพนี้ เป็นอาชีพที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก แต่กลับมีรายได้สูงมากที่เดียว ทั้งการแต่งหน้าศพ ทำผม แต่ฟังดูเป็นอาชีพที่น่าขนลุกไม่น้อย แต่ถ้าใครใจกล้า รับรองว่ารายได้ไม่ธรรมดาจริง




2.นักชิมไอศกรีม
รายได้เฉลี่ยต่อปี อยู่ที่ 56,000 ดอลล่าร์ หรือ ประมาณ 1,750,000 บาท ฟังดูแล้วอาชีพนี้ น่าสนใจแถมรายได้ไม่ธรรมดาอีกด้วย เหมาะกับคนที่ชอบทานของหวาน ก็น่าจะชอบ ฟังดูแล้วอาชีพนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าทำไมรายได้อาชีพถึงดีอย่างไม่น่าเชื่อ ก็เพราะว่าชีวิตในแต่ละวันของนักชิมไอศกรีม เจอกับสารปรุงแต่งต่างๆ ที่เป็นสารเคมี มากมายนั่นเอง
       


5 อาชีพแปลก เงินเดือนสุด





5 อาชีพแปลก เงินเดือนสุด

3.นายแบบ นางแบบ เฉพาะส่วน
รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 55,000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1,710,000 บาท อาชีพนี้ ถ้าใครเกิดมามีรูปร่างดี สัดส่วนดี ก็ถือเป็นโชคดีก็แล้วกัน เพราะในต่างประเทศ มักจะมีการถ่ายเฉพาะส่วน เพื่อลงในนิตยสาร หรือ หนังสือต่างๆ ถ้าใครมีอวัยวะสวยงามทุกส่วนของร่างกายละก็ รับรองเงินแน่นกระเป๋าอย่างแน่นอน




5 อาชีพแปลก เงินเดือนสุด


4.นักพากย์เสียง
รายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 50,000 -80,000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1,500,000 -2,500,000 บาท นักพากย์เสียง ยิ่งถ้ามีประสบการณ์เยอะ ก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการสร้างรายได้ 300 ดอลล่าร์ ภายใน 5 นาที

       


5.นักช็อปปิ้งปริศนา
รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 20-30 ดอลล่าร์ ต่อครั้ง หรือประมาณ 600-1,000 บาท คนเหล่านี้ เป็นนักชอปปิ้ง ที่บริษัทจ้างขึ้นมา เพื่อปลอมตัวเป็นลูกค้าจริงๆ เพื่อที่จะทำการประเมิน คุณภาพของร้านค้าว่า ควรดูแลพนักงานของเขาอย่างไร


































ประเทศ เล็กๆ "จิ๋วแต่แจ๋ว" อย่างสิงคโปร์มักได้รับการยกย่องว่าทำอะไรต้องดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของโลก ล่าสุด "บาร์เคลย์" สถาบันการเงินชื่อดังของอังกฤษ เผยผลสำรวจทำไมคนสิงคโปร์ยกระดับฐานะได้เร็วที่สุดในโลก โดยสำรวจจากผู้มีรายได้สุทธิทั่วโลก 2,000 ราย พบว่าคนสิงคโปร์ใช้เวลา 10 ปียกฐานะจากคนชั้นกลางกลายเป็นมหาเศรษฐีในพริบตา

อาจจะ บอกว่าก็เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งก็ถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจากการสำรวจพบว่า 72% ของคนสิงคโปร์ไม่ได้งอมืองอเท้า ไม่ง้อโชคชะตา แต่ขอรวยด้วยลำแข้งของตัวเอง หากเปิดกระเป๋าดูจะพบว่าคนสิงคโปร์มีทรัพย์สินถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ หรือ 45 ล้านบาทไทยเลยทีเดียว

เคล็ดลับอะไรที่ทำให้คนสิงคโปร์ รวยขนาดนี้ หากบอกแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าหลักการง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ นั่นคือ "การออม" นั่นเอง ชาวสิงคโปร์ 55% ยกฐานะตัวเองด้วยเงินรายได้ จากการทำงานพร้อมกับฝากเงินก้อนโตกินดอกเบี้ยธนาคาร คนไทยคงจะรวยด้วยวิธีนี้ลำบากเพราะดอกเบี้ยบ้านเราต่ำเรี่ยดิน

ประกอบ กับเงินทุนต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย ทำให้กระแสเงินตราในภูมิภาคนี้สะพัด จีดีพีขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ตลาดหุ้นก็เลยสดใสตาม คนสิงคโปร์นำเงินที่เก็บหอมรอมริบมาลงทุน หรือบางส่วนก็นำมาฝากแบงก์

เมื่อ เศรษฐกิจเติบโตคนสิงคโปร์ยิ่งเร่งทำงานและเก็บเงินเก็บทองจนสร้างฐานะร่ำรวย ไม่น้อยกว่า 5 เท่าหรือมากกว่านั้น แต่ใช่ว่าเขาจะตระหนี่ถี่เหนียวอย่างเดียว แต่ยังเจียดเงินส่วนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายซื้อของราคาแพงๆหรูๆ จึงไม่แปลกใจว่าจะเห็นรถเฟอร์รารี่ไม่น้อยแล่นอยู่บนถนน หรือยอมจ่ายค่าเครื่องดื่มราคาแพงระยับด้วยบรรยากาศหรูหรา ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ราวๆ 16% ของรายได้และยังมีค่าภาษีสังคม ที่เหลือจากนี้คือเงินออมทั้งหมด

แม้ว่าจะมีฐานะร่ำรวย แต่น่าประหลาดใจที่คนสิงคโปร์เแค่ 13% ที่บอกว่าทรัพย์สินที่เก็บหอมรอมริบจะมอบเป็นมรดกให้ลูกหลาน แต่กว่า 50% บอกว่าจะมอบให้การกุศล ไม่ใช่รวยแล้วงก ยังมีจิตใจเอื้อเฟื้อ

หากคนไทยอยากรวยแบบคนสิงคโปร์ ต้องรู้จัก "ออม" ตั้งแต่วันนี้